ในโลกของการตลาดดิจิทัล คำว่า “SEO” เป็นคำที่ใครหลายคนคงเคยได้ยินกันมาอย่างแน่นอน แต่คำถามถัดไปที่หลายคนยังไม่รู้คำตอบหรือไม่รู้ความหมายคือ “Relevance SEO” หรือ ความเกี่ยวข้องบนการทำ SEO ที่ไม่เพียงแค่การใช้งานคำหลัก (Keyword) ที่เหมาะสม แต่ยังรวมไปถึงการสร้างเนื้อหา (Content) ที่ตอบโจทย์และเข้าถึงความต้องการของผู้ใช้งานบนเครื่องมือค้นหาได้อย่างแท้จริง
ในบทความครั้งนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับความหมายและความสำคัญของความเกี่ยวข้องใน SEO พร้อมทำความรู้และเข้าใจในการใช้งานความเกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ของคุณ การเข้าใจความเกี่ยวข้องใน SEO จะช่วยให้คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่ไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้อ่าน แต่ยังช่วยดันอันดับเว็บไซต์ให้ได้รับการยอมรับบนหน้าผลการค้นหา (SERP) ของเครื่องมือค้นหาได้อย่างเต็มที่
ความหมายของ Relevance ใน SEO
Relevance ใน SEO คือ การสะท้อนถึงว่าหน้าผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SERP) สอดคล้องกับความตั้งใจของผู้คนได้มากน้อยเพียงใด ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ “กฎหมายภาษีของสหรัฐอเมริกา” แหล่งข้อมูลที่ชัดเจนและมีความเกี่ยวข้องมากที่สุดคือเว็บไซต์ .gov ของ IRS เป็นต้น
การตัดสินใจเข้าชมรายการผลการค้นหาอันดับแรกหรืออันดับที่สองบนหน้าผลการค้นหา (SERP) ได้กลายเป็นนิสัยของใครหลายคนจนพวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ และต้องการค้นหาอะไรกันแน่ แค่สนใจในสิ่งที่เครื่องมือค้นหาคัดสรรแสดงขึ้นมาให้บนหน้าผลการค้นหาเท่านั้น แต่นี่คือสิ่งที่เครื่องมือค้นหาอย่าง Google ตั้งใจทำ คือการมอบประสบการณ์ในการค้นหาที่ดีและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดให้กับผู้ใช้งานค้นหา การมอบประสบการณ์นั้นขึ้นอยู่กับการนำเสนอผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องที่สุดในลักษณะที่มองเห็นได้ชัดเจน และตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือรายการบนสุด อันดับหนึ่ง และอันดับสองที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาหลัก (Keyword) นั้นเอง
ทำไม Relevance ถึงมีบทบาทสำคัญในการทำ SEO
“ความเกี่ยวข้อง” หรือ Relevance ใน SEO มีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันช่วยให้เนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา การได้นำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำหลัก (Keyword) ที่ผู้ใช้งานค้นหากัน จะมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดี ซึ่งส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์บน Google และเครื่องมือค้นหา (Search Engine) อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Bing หรือ Yahoo
นอกจากนี้การใช้งานคำหลัก (Keyword) และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน ยังเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงให้กับเว็บไซต์ หรือแบรนด์ธุรกิจที่เป็นเจ้าของ ทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นแหล่งข้อมูล แหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ด้วยเหตุนี้ ความเกี่ยวข้องจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพเลยทีเดียว
อะไรคือสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ Relevance เพิ่มเติมอีกบ้าง ?
ตัว Relevance (ความเกี่ยวข้อง) ไม่ใช่ค่าคงที่ที่สามารถแปลความหมายได้แบบตรงตัว แต่เป็นค่าที่เปลี่ยนแปลงตามคำค้นหาหลัก (Keyword), คำหลักที่ใช้บนหน้าเว็บ และความหมายของคำเหล่านี้ที่สามารถแปรเปลี่ยนไปตามเวลาหรือบริบทต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น การค้นหาคำว่า “Apple” อาจบ่งบอกถึงคนที่ต้องการซื้อ IPhone ของ Apple หรือคนที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับผลไม้แอปเปิ้ล ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้อง ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้ค้นหา ถ้าผู้คนสนใจและกดเข้าหน้าเว็บโทรศัพท์ IPhone มากกว่าหน้าเว็บที่มีเนื้อหาแอปเปิ้ลที่เป็นผลไม้ ผลลัพธ์การค้นหาก็จะแสดงขึ้นเป็นโทรศัพท์ IPhone มากกว่าคำว่า “Apple” ที่เป็นผลไม้
อย่างไรก็ดีความเกี่ยวข้องสามารถถูกกำหนดผ่านคำหลัก, การเปรียบเทียบคำหลักที่พบในการค้นหาที่คล้ายกัน และปัจจัยอื่น ๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นมัลติมีเดียบนหน้าเว็บ (ภาพ, เสียง, วิดีโอ ฯลฯ) ที่สนับสนุนเนื้อหาของหน้าเว็บบนคำหลัก (Keyword) นั้น ๆ และการตั้งชื่อบทความที่ตรงกับเนื้อหาของหน้าเว็บอย่างแม่นยำ เป็นต้น นอกจากนี้การจะเข้าใจวิธีกำหนดความเกี่ยวข้อง (Relevance) ควรจำเป็นต้องศึกษาประเภทต่าง ๆ ของมันอีกด้วย
Brand Relevance
ความเกี่ยวข้องของแบรนด์ คือ ความสัมพันธ์และความใกล้ชิดของคำหลัก (Keyword) ของแบรนด์ / บริษัท กับหัวข้อเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ของพวกเขา เมื่อคุณคิดจะตรวจสอบเว็บไซต์ของตัวเองว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างคำหลัก (Keyword) กับแบรนด์มากน้อยเพียงใด คุณควรถามตัวเองว่า
- หน้าเว็บเพจแต่ละหน้ามีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนและใกล้ชิดกับหน้าเว็บเพจอื่น ๆ บนเว็บไซต์หรือไม่ ?
- หัวข้อที่เขียนถึงนั้นสอดคล้องตามเหตุตามผลกับสิ่งที่แบรนด์นำเสนอหรือไม่ ?
- มีบทความหรือหัวข้อใดบนเว็บไซต์ที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมหรือไม่เข้ากับตัวเว็บไซต์หรือไม่ ?
- Keyword ที่เว็บไซต์ใช้งานเกี่ยวข้องกับคำหลักมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับ Keyword ที่พวกเขาต้องจะเชื่อมโยงด้วยจริง ๆ ?
พูดได้เลยว่าหากหัวข้อใดไม่สามารถให้การสนับสนุนเนื้อหาสำคัญบนหน้าเว็บ ไม่เกี่ยวข้องกับคำหลัก (Keyword) ของแบรนด์ หรือดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องหรือขาดความสัมพันธ์ในทางใดทางหนึ่ง หัวข้อนั้นไม่ควรมีอยู่หน้าเว็บไซต์ตั้งแต่แรก เพราะจะเป็นผลเสียต่อเว็บไซต์ที่ทำ SEO และไม่สร้างความเกี่ยวข้องใด ๆ กับคำหลัก (Keyword)
Link Relevance
หากคุณพบว่ามีลิงก์ (Link) ที่ดูเหมือนจะถูกบังคับใส่, สุ่ม หรืออยู่บนตำแหน่งหน้าเว็บที่ไม่เหมาะสม โอกาสที่ลิงก์เหล่านี้ไม่ควรถูกนำมาใช้งานมีสูงมาก การตัดสินใจว่าลิงก์ภายใน (Internal link) หรือลิงก์ภายนอก (Backlink) ควรจะอยู่หรือไม่ ควรตัดสินใจจากหลาย ๆ ปัจจัยดังต่อไปนี้
- ข้อความที่ใช้ลิงก์ : ข้อความที่ใช้ลิงก์นั้นได้บ่งบอกได้ไหมว่าหน้าเว็บที่ลิงก์ไปนั้นมีเนื้อหาอะไรรออยู่ที่ปลายทาง ?
- บริบทรอบ ๆ ลิงก์ : เมื่ออ่านข้อความหรือเนื้อหาโดยรอบของลิงก์ มันชัดเจนไหมว่าหน้าเว็บนั้นมีวัตถุประสงค์และข้อหัวข้อหน้าที่ลิงก์ไปจะเป็นอย่างไร ?
- ความสัมพันธ์ระหว่าง Domain ที่ถูกลิงก์ไป : โดเมนที่ลิงก์ไปหากันมี Keyword เหมือนหรือคล้ายกันหรือไม่ หรือมีเนื้อหาที่คล้าย มีความน่าเชื่อถือในหัวข้อนั้น ๆ หรือไม่ ?
การรู้วิธีการระบุว่าหน้าเว็บไหนที่คู่ควรกับลิงก์ สามารถช่วยให้แน่ใจได้ว่าหน้าเว็บที่คุณมีไว้นั้นมีคุณค่า มีประโยชน์ ดูเป็นธรรมชาติ และเกี่ยวข้องกับเนื้อหา หากหน้าที่ลิงก์ไปมาของคุณนั้นไม่เกี่ยวข้อง ก็อาจจะส่งผลเสียต่อเว็บที่ทำ SEO ได้ จนนำไปสู่การลดลงของการมองเห็นเว็บไซต์ และจัดอันดับบนหน้าผลการค้นหา (SERP)
Page Relevance
ความเกี่ยวข้องของหน้าเว็บ คือ การเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาหลัก กับชื่อหัวข้อ, ย่อหน้า, และหัวข้อต่าง ๆ โดยสอบถามว่าเนื้อหานั้นตรงกับสิ่งที่ชื่อหน้าและหัวข้อบ่งบอกไว้หรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น หากชื่อหัวข้อของหน้าเว็บคือ “10 สายพันธุ์สุนัขที่เหมาะสมกับเด็ก” ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณคาดหวังว่าหัวข้อและเนื้อหาจะเป็นรายการของสายพันธุ์สุนัขตามคำอธิบายของชื่อหัวข้อ – อย่างน้อยสิ่งนี้ก็จะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับความน่าเชื่อถือของหน้าเว็บนั้นและแสดงถึงความเกี่ยวข้องระหว่างคำหลัก (Keyword) บนชื่อหัวข้อ กับเนื้อหา (Content)
หากเนื้อหาไม่มีความเกี่ยวข้องละ จะมีความหมายอย่างไรกัน ? มันก็คงจะส่งผลเสียต่อการทำ SEO อย่างแน่นอน ดังนั้นการที่หน้าเว็บมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานค้นหาเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสร้างชื่อเสียงออนไลน์ให้กับเว็บ / แบรนด์ ให้เป็นที่น่าเชื่อถือในหัวข้อที่ครอmบคลุม และนำไปสู่ผลดีในการทำ SEO เพื่อให้หน้าเว็บได้ถูกจัดอันดับดีขึ้นด้วย
Searcher Intent and Expectations
ลองถามตัวเองดูสิว่า ลิงก์, หน้าเว็บ และเนื้อหาของเว็บไซต์ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานคาดหวังและต้องการหรือไม่ ? การใช้งานคำหลัก (Keyword) ตรงกับที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้หรือไม่ (สามารถทำได้ผ่านวิธีการ Keyword Research), เนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณได้มอบคุณค่าหรือให้ประโยชน์ต่อผู้ค้นหาหรือไม่ ? หรือสุดท้ายแล้วคุณใช้ Keyword เพียงแค่จะให้ผู้ใช้งานกดเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเท่านั้น
ความตั้งใจของผู้ค้นหา คือแรงจูงใจเบื้องหลังการสืบค้นและสอบถามแต่ละครั้งบนเครื่องมือค้นหา ทำไมพวกเขาถึงค้นหาสิ่งที่พวกเขากำลังค้นหา ? พวกเขาหวังจะได้อะไรจากผลลัพธ์ที่ได้ ? Google ตีความหมายการค้นหาอย่างไร ? การเข้าใจในสิ่งเหล่านี้และทำให้แน่ใจว่าหน้าเว็บเพจของคุณนั้นเกี่ยวข้องกับการค้นหาในแต่ละครั้ง ไม่เพียงแต่ช่วยผู้ค้นหาให้ได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น แต่ยังช่วยเว็บไซต์ของคุณในการทำ SEO ให้ดีขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
บทสรุป Relevance in SEO
Relevance in SEO คือหัวใจสำคัญของการทำให้เว็บไซต์ได้ปรากฏบนหน้าผลการค้นหาและตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน การใช้งานคำหลัก (Keyword) ที่เหมาะสม และการสร้างเนื้อหา (Content) ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ค้นหา เป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มความมองเห็นของเว็บไซต์บนเครื่องมือค้นหาอย่าง Google
การทำความเข้าใจถึงความตั้งใจของผู้ค้นหาและการปรับใช้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO เท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ / แบรนด์ธุรกิจอีกด้วย