ในยุคดิจิทัลที่ทุกสิ่งต่างกำลังถูกนำเสนอผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และมีการแข่งขันในตลาดอย่างดุเดือด เรื่องของภาพลักษณ์แบรนด์หรือ “Brand Image” เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจและองค์กร เพราะเรียกได้เลยว่านี่คือตัวแทนของแบรนด์ที่ทุกคนจะต้องรู้จักและจดจำไปอีกนาน เสมือนการสร้างชื่อเสียงในวงการ หรืออาจกลายเป็นประสบการณ์ของลูกค้าที่จะลืมไม่ลง โดยต้องพูดก่อนว่าเรื่องของภาพลักษณ์แบรนด์ ไม่เพียงแค่โลโก้หรือสัญลักษณ์ของแบรนด์เท่านั้น แต่มันเกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความคิด และประสบการณ์ที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์นั้น ในทางหนึ่งยังมีอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของแบรนด์
แม้ว่าภาพลักษณ์แบรนด์อาจจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาด แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันก็จะเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากประสบการณ์จริงของลูกค้าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์นั้นที่สะท้อนกลับมาว่า ‘เขามองเราอย่างไร’ โดยในบทความนี้เราจะสำรวจและเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของภาพลักษณ์แบรนด์ และวิธีที่มันส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอย่างไม่หยุดยั้ง
ทฤษฎี Brand Image คืออะไร
ทฤษฎีเกี่ยวกับ Brand Image ตามที่ฟิลิป โคตเลอร์ (Philip Kotler) นิยามไว้ เริ่มแรกจะเป็นแนวคิดด้านการตั้งชื่อแบรนด์ ซึ่งอธิบายวิธีการที่ธุรกิจนั้นได้สร้างการรับรู้และทัศนคติต่อแบรนด์ให้กับลูกค้า โดยอิงจากประสบการณ์และการปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์นั้น ๆ โดยทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับแทบทุกอย่างที่ลูกค้าได้สัมผัสกับแบรนด์นั้น เช่น การปฏิสัมพันธ์ของลูกค้ากับการโฆษณา บรรจุภัณฑ์ คุณภาพสินค้า งานบริการลูกค้า หรือแม้กระทั่งการติดต่อ ซึ่งสำหรับการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์เพื่อให้ติดหน้าแรกของ Google เองก๋เป็นหนึ่งในเรื่องที่สร้าง Brand Image ที่ดีได้เช่นกัน
โดยนักการตลาดส่วนใหญ่ล้วนเชื่อว่า ภาพลักษณ์แบรนด์สามารถมีอิทธิพลอย่างมากต่อพฤติกรรมของลูกค้าและการตัดสินใจในการซื้อสินค้า โดยทฤษฎีนี้ในทางปฏิบัติเรามักจะเห็นได้ว่านักการตลาดจะเน้นความสำคัญของการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่เป็นไปในทางเดียวกันทั้งองค์กรแบบเชิงบวกผ่านทุกกิจกรรมทางการตลาดและการสื่อสารของแบรนด์ ที่จะต้องมีความชัดเจนเข้าถึงได้ง่าย
โคตเลอร์ยังแนะนำอีกว่าภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่งสามารถช่วยให้แบรนด์เด่นขึ้นจากคู่แข่งและเพิ่มความเชื่อมั่นในแบรนด์ทั้งกับลูกค้าและ ‘ว่าที่ลูกค้า’ ได้ด้วย ซึ่งสิ่งนี้อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งในตลาดที่แข่งขันสูง โดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่ลูกค้ามีตัวเลือกมากมายในการเลือกใช้สินค้าหรือบริการ
ประเภทของ Brand Image
เมื่อว่ากันตามหลักการแล้วเราพอจะสรุปได้ว่า Brand Image มีหลายประเภทที่สามารถสร้างขึ้นได้ โดยอาจแบ่งเป็นข้อได้ตามนี้
ภาพลักษณ์ที่เชื่อมกับฟังก์ชัน (Functional Image)
คือวิธีที่ลูกค้ามองเห็นและรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ โดยให้ความสำคัญกับประโยชน์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น ๆ โดยเราสัมผัสคุณค่าและประโยชน์ที่มันสามารถให้เราได้จริง เช่น ความเชื่อถือได้ในคุณภาพของสินค้า ความคงทนหรือความเสถียรภาพ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราคิดถึงรถยนต์แบรนด์หนึ่ง ความเชื่อมโยงกับฟังก์ชันของรถนั้นอาจหมายถึงความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของรถ เช่น ระบบเบรกที่ดี หรือคุณภาพของเครื่องยนต์ที่มั่นคง เราอาจเรียกผลิตภัณฑ์นี้ว่า “รถที่มั่นคงและคุ้มค่า” เนื่องจากมันสามารถให้ประโยชน์ทางฟังก์ชันในเรื่องของความปลอดภัยและคุณภาพของการเดินทางได้ดี ภาพลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับฟังก์ชันนี้เป็นหนึ่งในมิติของภาพลักษณ์แบรนด์ที่ช่วยสร้างความไว้วางใจในสินค้าหรือบริการนั้นในใจของลูกค้าให้มากขึ้น และมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจในการซื้อหรือใช้งานสินค้าหรือบริการดังกล่าวนั้นเอง
ภาพลักษณ์ทางอารมณ์ (Emotional Image)
เป็นสิ่งที่จะทำให้เรามองเห็นและรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์โดยการให้ความสำคัญกับความรู้สึกและอารมณ์ที่มันสามารถถ่ายทอดให้เราได้ เช่น ความสุข ความพอใจ หรือความปลอดภัยทางอารมณ์
เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ เราบอกได้เลยว่าภาพลักษณ์ทางอารมณ์นั้นเกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่เราได้รับเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่รับจากการใช้สินค้า ความพอใจในบริการหรือความรู้สึกของความปลอดภัยที่มีในการใช้งาน นี่คือส่วนที่สำคัญในการสร้างความลึกและความผูกพันของลูกค้าต่อแบรนด์ เพราะมันสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มีทางอารมณ์ในระยะยาวระหว่างลูกค้าและแบรนด์ได้
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราคิดถึงแบรนด์เสริมอาหาร ภาพลักษณ์ทางอารมณ์อาจเป็นความสุขและความพอใจที่มาจากการได้รับสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้สุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการมีพลังงานมากขึ้น หรือความรู้สึกของความมั่นใจในการดูแลสุขภาพของตัวเอง ภาพลักษณ์ทางอารมณ์นี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความรักในสินค้าหรือบริการของแบรนด์นั้นในใจของลูกค้า
ภาพลักษณ์ที่เชื่อมกับตัวบุคคล (Personal Image)
เป็นอีกวิธีที่รับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ได้โดยการให้ความสำคัญกับลักษณะที่เป็นบุคคลหรือตัวแทนของผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น ๆ เช่น สไตล์ ความเป็นเอกลักษณ์ หรือคุณลักษณะของบุคคลที่ทำให้สินค้าแตกต่างจากผลิตภัณฑ์หรือบริการอื่น ๆ
ภาพลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับตัวบุคคลอาจถูกสร้างขึ้นจากลักษณะเฉพาะที่เราพบเห็นในผลิตภัณฑ์หรือบริการ ยกตัวอย่าง ถ้าเราพูดถึงแบรนด์รองเท้าที่มีภาพลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับตัวบุคคล เราอาจมองไปที่การเชื่อมโยงระหว่างภาพของผู้ใส่ที่สะท้อนถึงสไตล์ของรองเท้าว่ามีความทันสมัย หรือเราอาจพิจารณาถึงลักษณะพิเศษอื่น ๆ เช่น สีสันหรือดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร เนื่องจากภาพลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับตัวบุคคลมีความเกี่ยวข้องกับความเป็นตัวเองและความเฉพาะตัว มันสามารถช่วยให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นกลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจและจดจำง่ายอีกด้วย จึงไม่แปลกเลยที่ในบางครั้งการใช้ Brand ambassador จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สัมพันธ์กับเรื่องนี้
ภาพลักษณ์กับสังคม (Social Image)
เป็นการให้ความสำคัญกับความเชื่อมโยงกับสถานะทางสังคมที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นแสดงออก นั่นหมายความว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการนี้มีอาจเน้นความสมบูรณ์ หรูหรา หรือดูแพง หรือไปที่ความเฉพาะเจาะจงบางอย่างเช่น ดูมีคลาสกว่า หรือเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่เน้นคุณค่าบางอย่างมากกว่า
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ลองคิดภาพตามว่า ถ้าเราพูดถึงแบรนด์รถยนต์หนึ่ง ความเชื่อมโยงกับสังคมอาจหมายถึงความเป็นรถยนต์ที่แสดงถึงความหรูหราทันสมัย การขับขี่รถยนต์นี้อาจทำให้คุณได้เข้าร่วมกลุ่มสังคมที่มีผู้คนที่มีสถานะสังคมสูงในแวดวงเดียวกัน โดยการที่รถยนต์มีภาพลักษณ์กับสังคมเชื่อมโยงกับความหรูหรา ก็สามารถทำให้ผู้บริโภครู้สึกโดดเด่นหรือสะท้อนความสำเร็จเมื่อถือเป็นเจ้าของรถยนต์นี้ได้ โดยเราจะเห็นการเชื่อมโยงแบบนี้ได้บ่อยจากการใช้สินค้าของแบรนด์ประเภท Luxury หรือ High-end
ภาพลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับผู้ใช้ (User Image)
หนึ่งในการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์โดยให้ความสำคัญกับผู้คนหรือกลุ่มผู้ใช้งานที่ใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น ๆ เช่น นักกีฬาที่ใช้ผลิตภัณฑ์กีฬาจริง กลุ่มคนใช้จริงที่อาจไม่ได้มีชื่อเสียงมากแต่ให้ความเรียลกับการนำเสนอ
โดยภาพลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับผู้ใช้มักเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์โดยตรงอยู่แล้วเนื่องมาจากการใช้อย่างเป็นประจำหรืออาจเป็นแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์นั้น ๆ เรียกได้ว่าการทำการตลาดในลักษณะนี้จะเน้นความสมจริงในเรื่องของการใช้งาน เพื่อทำให้ลูกค้าเชื่อว่านี่คือธรรมชาติของการบริโภคที่ไม่ได้ถูกโฆษณาจนเกินจริง และคาดหวังได้ว่าพวกเขาจะสามารถสัมผัสได้ถึงสินค้าหรือบริการตามที่คาดหวังเช่นเดียวกับผู้ใช้งานคนอื่น ๆ
ภาพลักษณ์เชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Image)
เป็นการให้ความสำคัญกับความหมายและสัญลักษณ์ที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นแทนตัว เช่น ความเสรี ความผจญภัย หรือความสำเร็จ หรือความเป็นนามธรรมบางอย่างที่ธุรกิจต้องการจะสื่อออกมาว่าพวกเขาเป็นแบบนั้น
โดยภาพลักษณ์เชิงสัญลักษณ์นั้นเกี่ยวข้องกับความหมายที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการแทนให้เราเห็น อาจพบได้ เช่น ถ้าเราพูดถึงแบรนด์ของถ้วยกระดาษ พวกเขาอาจชูประเด็นเกี่ยวกับเรื่องราวของการรักษ์โลกขึ้นมา ทำให้รู้สึกว่าแบรนด์ของตัวเองมีความเป็นมิตรกับโลก สร้างบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยซึ่งจะทำให้คนใช้สินค้าได้รู้สึกไปด้วยว่าพวกเขาก็ได้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่ามันคือการทำให้เกิดการสะท้อนตัวตนของลูกค้าอ้อม ๆ หรือสิ่งที่ลูกค้าคิดว่าอยากจะเป็นได้ผ่านตัวของธุรกิจที่สร้างภาพลักษณ์เช่นนั้นขึ้นมา
โดยแต่ละแบรนด์อาจเลือกใช้ภาพลักษณ์แบรนด์ประเภทใดประเภทหนึ่ง ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายและเป้าหมายการตลาด หรืออาจใช้แบบผสมผสานก็ได้เช่นกันเพื่อให้เกิดการนำไปสู่การจดจำได้ดียิ่งขึ้นในสายตาของผู้บริโภค
Brand image และ Brand identity ต่างกันอย่างไร?
เนื่องจากมักมีความสับสนระหว่างภาพลักษณ์แบรนด์ (Brand image) และอัตลักษณ์แบรนด์ (brand identity) เราจะขอเปรียบเทียบระหว่างทั้งสองให้เข้าใจได้มากขึ้น โดยต้องเริ่มเข้าใจก่อนว่าเมื่อคุณเริ่มสร้างแบรนด์ คุณจะคิดอย่างมาก เกี่ยวกับวิธีการที่ต้องทำให้แบรนด์ของคุณมีความแตกต่างจากคู่แข่ง ซึ่งเจ้าสิ่งที่เรียกว่าอัตลักษณ์แบรนด์ ก็เปรียบได้กับบุคลิกภาพของแบรนด์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเลือกสร้างโลโก้ การเลือกสีแบรนด์ และอื่น ๆ องค์ประกอบเหล่านี้ ซึ่งนับเป็นรากฐานแบรนด์ของคุณ และจะถูกใช้ร่วมหรือควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ บริการ เนื้อหาContent และใช้วางกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งสิ่งนี้จะก่อให้เกิดตัวตนของแบรนด์ขึ้นด้วยตัวคุณเอง
ในขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์แบรนด์ คือสิ่งที่คนอื่น ๆ คิดเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณ โดยที่คุณไม่อาจนิยามได้เลยว่าจะให้คนอื่นรู้สึกกับคุณอย่างไร (คุณทำได้เพียงแค่มีส่วนร่วมเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขารู้สึก) แต่สุดท้ายแล้วมันคือสิ่งที่ผู้บริโภคจะนิยามให้กับคุณเองว่าตัวคุณเองเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็ในสายตาของพวกเขา
ทำไม Brand image ถึงมีความสำคัญ?
แน่นอนว่าสำหรับผู้บริโภคแล้ว การจับจ่ายใช้สอยไปกับสิ่งที่ดูเหมือนจะคุ้มค่าที่สุด ใช่ที่สุด และช่วยให้แสดงออกถึงความเป็นตัวเรามากที่สุดล้วนเป็นสิ่งสำคัญ ในทางกลับกันการที่แบรนด์พยายามจะประกาศตัวเองว่าเป็นเช่นไร ก็เป็นสิ่งที่ใช้ในการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องของการ “จูนติด” ซึ่งกันและกัน และนี่คือเหตุผลว่าทำไม การใช้ Brand image จึงสำคัญในยุคนี้ ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณก่อให้เกิดภาพจำได้ง่ายยิ่งขึ้น
1.บอกถึงความประทับใจ
ภาพลักษณ์แบรนด์ไม่เพียงแค่การตั้งชื่อหรือออกแบบโลโก้ มันเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้บริโภคได้รับจากแบรนด์ของคุณ และมีผลต่อความรู้สึกและความสัมพันธ์ของพวกเขากับแบรนด์นั้น
การสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดีนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อลูกค้ามองไปที่แบรนด์ของคุณ พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับจากแบรนด์นั้น ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ การเข้าสัมผัสกับการตลาดและโฆษณา ซึ่งแน่นอนว่าภาพลักษณ์แบรนด์จะบอกได้ว่าเราทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกอย่างไรต่อแบรนด์
ความประทับใจที่ดีต่อลูกค้ามักจะเป็นการสร้างความไว้วางใจและความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ลูกค้ามักจะรู้สึกมั่นใจและพึงพอใจในการเลือกใช้แบรนด์ของคุณ ส่งผลให้พวกเขาต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนของแบรนด์และแชร์ประสบการณ์ดี ๆ ต่อไปได้ นอกจากนี้ ความประทับใจที่ดีต่อลูกค้ายังส่งผลให้ลูกค้าเหล่านั้นมีโอกาสในการแนะนำและแนะนำแบรนด์ของคุณให้กับคนอื่นด้วย
2.เพิ่มการรับรู้แบรนด์
การรับรู้แบรนด์มีความสำคัญมากในการสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้บริโภค แม้แบรนด์ของคุณจะมีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ดีแค่ไหน หากไม่มีการรับรู้และการรู้สึกดีต่อแบรนด์นั้น เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะสร้างความสำเร็จในธุรกิจ ด้วยเหตุนี้การสร้างการรับรู้แบรนด์จึงมักเริ่มต้นด้วยการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่มีความทรงจำและเป็นเอกลักษณ์ในสไตล์ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นออกไปจากคู่แข่ง
กุญแจสำคัญก็คือ การทำอย่างไรก็ได้ให้แบรนด์ของคุณเป็นที่จดจำและรับรู้ได้โดยทั่วกันถึงการมีอยู่ ผ่านการสร้างการติดต่อและการสื่อสารกับลูกค้าของคุณอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคุณสามารถทำได้โดยการใช้สื่อสารและโฆษณาที่เข้ากับพูดคุยและสื่อสารกับความคาดหวังของกลุ่มเป้าหมายของคุณ นอกจากนี้ การเป็นบริการลูกค้าที่ดีและการสร้างประสบการณ์บวกสำหรับลูกค้ายังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สร้างการรับรู้แบรนด์ที่ดีด้วย (อ่าน “เทคนิคลับสร้าง Brand Awareness ในธุรกิจออนไลน์ให้ลูกค้าติดใจ ควรโฟกัสเรื่องอะไร” ต่อได้ที่นี่ คลิก)
3.ส่งมอบคุณค่า
ยิ่งเวลาผ่านไปความคาดหวังของลูกค้าก็มักจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ และแบรนด์ที่สามารถสร้างคุณค่าและให้บริการที่ดีมักจะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุนี้คุณค่าที่ส่งมอบให้กับลูกค้าจึงไม่จำกัดเพียงแค่ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณขาย เพราะมันสามารถเริ่มต้นได้จากกระบวนการตอบสนองต่อความต้องการและความต้องการของลูกค้า การทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขาได้รับความสนใจและความเคารพจากแบรนด์ของคุณ
การส่งมอบคุณค่านอกเหนือจากประโยชน์ของสินค้าหรือบริการโดยตรงแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการส่งสินค้าที่มีคุณภาพและตรงตามความคาดหวัง การให้บริการลูกค้าที่มีมาตรฐานสูง หรือการจัดกิจกรรมและโปรโมชั่นที่น่าสนใจสำหรับลูกค้า
นอกจากนี้ การสร้างคุณค่ายังเกี่ยวข้องกับการสร้างความรู้สึกของความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างแบรนด์ของคุณและลูกค้า ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งนี้สร้างความเชื่อมั่นและความเป็นที่นับถือในลูกค้า เขาจะรู้สึกว่าแบรนด์ของคุณคือคำตอบที่ถูกต้องในความต้องการและความพึงพอใจของพวกเขา
จึงไม่แปลกที่ในยุคที่การแข่งขันอยู่ในระดับสูง การส่งมอบคุณค่าที่ยอดเยี่ยมจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นออกไปจากคู่แข่ง มันช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าของคุณ ทำให้พวกเขาเป็นลูกค้าที่มีศักยภาพในการแนะนำและสนับสนุนแบรนด์ของคุณ ซึ่งส่งผลให้คุณมีโอกาสในการขยายธุรกิจและเพิ่มรายได้ในระยะยาว
4.เพิ่มโอกาสในการขาย
การสร้างภาพลักษณ์และส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าไม่เพียงแค่ช่วยเสริมโอกาสในการขาย แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถเปิดโอกาสในการขายที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความไว้วางใจและความพึงพอใจในแบรนด์ของคุณที่มักจะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการและซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณอย่างต่อเนื่อง การให้บริการลูกค้าที่มีมาตรฐานสูงและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็วและเป็นมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความพึงพอใจ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการเพิ่มเติมให้กับลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่
โดยการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งในระยะยาวกับลูกค้า ก็มีความสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการขายไม่แพ้กัน ไปจนถึงการใช้โปรโมชั่นและกิจกรรมการขายที่น่าสนใจก็สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและดึงดูดลูกค้าได้เสมอ ด้วยเหตุนี้การมี Brand image ที่ดีจะช่วยให้ลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่าคุณเป็นใครและจะได้อะไรบ้างจากธุรกิจของคุณ และเมื่อความเชื่อใจเกิดขึ้นพร้อมกับความลังเลที่หายไป เมื่อนั้นก็หมายความว่ายอดขายของคุณอาจพุ่งสูงขึ้นได้แบบทันตา
การพัฒนา Brand image ควรเริ่มต้นที่อะไรก่อน?
การรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็นบวก ไม่ใช่งานที่ทำครั้งเดียวเท่านั้น แต่จำเป็นต้องทำตลอดไปตราบเท่าที่คุณยังทำธุรกิจ และนี่คือวิธีที่คุณสามารถนำไปใช้งานได้จริงเพื่อดูว่าก่อนที่จะเริ่มสร้าง Brand image ธุรกิจของคุณควรให้ความสำคัญกับเรื่องใดก่อน
มี Brand identity ที่แข็งแรง
หากคุณต้องการที่จะมีชื่อเสียงสำหรับธุรกิจ Brand identity คือจุดเริ่มต้นที่ควรพิจารณาก่อน อย่างที่เราได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ว่านี่หมายถึงลักษณะที่แบรนด์ของคุณใช้ในการสื่อสารกับลูกค้า เช่น เสียงแบรนด์ของคุณ โลโก้ธุรกิจ หรือสีของคุณ
การแสดงแบรนด์ของคุณอย่างเต็มที่ จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายของคุณรู้จักคุณในแบบที่ต่างจากคู่แข่งอย่างไร เป็นโอกาสแรกของคุณในการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ของคุณ โดยเราขอแนะนำว่าให้คุณลงทุนกับมันตั้งแต่เริ่มต้นและให้ความสนใจอย่างรอบคอบต่อคำติชมที่คุณได้รับเกี่ยวกับแบรนด์ เพราะเมื่อแบรนด์ของคุณเติบโต มันจะสามารถต่อยอดได้ในอีกหลายด้านด้วยกันสำหรับการทำธุรกิจที่แข็งแรงขึ้น
สร้างเว็บไซต์ให้มืออาชีพ
การมีเว็บไซต์เป็นโอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีได้ในระยะยาว เรียกได้ว่านี่แทบจะเป็นการสื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภคของคุณเลยก็ว่าได้ว่าคุณอยากที่จะเป็นคน(ธุรกิจ) แบบไหน แต่ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าการออกแบบเว็บไซต์ที่ดีและอัปเดตอย่างเหมาะสมจำเป็นต้องทุ่มเทไม่น้อยทีเดียว แต่ก็นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะการมีเว็บไซต์เป็นหนึ่งในวิธีการที่แสดงให้ลูกค้ารู้ว่าคุณมีทุกอย่างในการดำเนินธุรกิจอย่างมีระบบ อีกทั้งหากคุณลงทุนเวลาในการสร้างเว็บไซต์ที่ดูดี ก็มั่นใจว่ามันจะสร้างความประทับใจให้ลูกค้าเชื่อมั่นในธุรกิจของคุณได้อย่างมหาศาล
รู้จักใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลาย
เป็นเรื่องที่ดีหากคุณมีแผนสำรองในการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสให้การขายมากขึ้น เพราะลำพังแม้ Brand image จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เสริมสร้างภาพลักษณ์ทางธุรกิจได้ แต่มันก็ยังจำเป็นต้องมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกมากมาย การเตรียมทางเลือกไว้หลายทางสำหรับการโปรโมท ประชาสัมพันธ์ หรือการทำแคมเปญ ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งคุณมีความคิดสร้างสรรค์มากแค่ไหนในการนำเสนอ ก็เป็นไปได้ว่าผู้คนจะชื่นชอบในแบรนด์ของคุณขึ้นไปอีก
รับ Feedback จากผู้บริโภค
ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวทางออนไลน์ การสื่อสารด้วยตัวบุคคล หรือความคิดเห็นที่ทิ้งไว้บนหน้าเว็บไซต์และสื่อโซเชียลมีเดียก็ตาม ความคิดเห็นจากลูกค้าเป็นหนึ่งในวิธีที่เจ้าของธุรกิจสามารถเข้าใจได้ว่าภาพลักษณ์ของแบรนด์มีผลต่อสาธารณะอย่างไร
หากความคิดเห็นเป็นเชิงลบหรือขัดแย้งกับตัวตนของแบรนด์ของคุณ นั่นก็เป็นสัญญาณที่บอกว่ามีบางเรื่องที่คุณต้องเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางทีคุณอาจต้องปรับปรุงข้อความ การสื่อสารเพื่อให้เกิดความคิดเห็นที่เป็นเชิงบวก ซึ่งมันจะเป็นเสียงสะท้อนให้คุณได้ยินว่าธุรกิจของคุณนั้นเดินทางมาได้อย่างถูกต้องแล้ว ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ผู้คนจดจำคุณในแง่ที่ดีได้ด้วย
ปรับปรุงแบรนด์ของคุณแบบ off-line
ในยุคที่เน้นการสื่อสารออนไลน์อย่างนี้ มันอาจทำให้คุณลืมความสำคัญกับการสื่อสารกันแบบ off-line ได้ง่าย ๆ จำไว้เสมอว่าการมีส่วนร่วมกับชุมชนของคุณ โดยการเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นการระดมทุนหรือจัดงาน หรือแม้แต่การเป็นสปอนเซอร์กิจกรรม ทุกอย่างเป็นวิธีในการทำให้แบรนด์ของคุณมีมิติความเป็นมนุษย์และเพิ่มภาพลักษณ์ได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
หากธุรกิจของคุณใช้การสื่อสารแบบ Personal Brand เช่น เป็นเจ้าของร้านหรือเจ้าของธุรกิจ ก็มีแนวโน้มว่าการลงมือทำกิจกรรม จะส่งผลที่ดีและให้พลังในการจดจำได้มากขึ้น แต่จำไว้เลยว่าการออกสื่อแต่ละครั้งอาจเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อแบรนด์ของคุณ ซึ่งจะทำให้คุณรุ่งหรือร่วงอาจอยู่ที่ว่าคุณแสดงออกอย่างไรด้วยเช่นกัน
สรุป: brand image ไม่ใช่สิ่งที่อยู่กับเราตลอดไป
แม้ว่า brand image จะสร้างขึ้นด้วยความยากลำบากแค่ไหน ทั้งเงินทุนรวมถึงเป้าหมายที่ต้องทุ่มเทเวลามากมาย แต่ความจริงก็คือภาพลักษณ์ของแบรนด์กลับไม่ใช่สิ่งที่อยู่กับเราตลอดไป นี่คือข้อเท็จจริงที่เราต่างก็รู้ดีว่าทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ว่าผู้คนจะลืมแบรนด์ไปแล้วหรือเห็นแบรนด์เปลี่ยนไปตามกลยุทธ์แบบใดขององค์กร สิ่งนี้มีให้เห็นมากมาย
ดังนั้น ภาพที่สื่อออกมาเป็นข้อเท็จจริงที่ว่าเราจะสื่ออะไรออกมาก็ได้ แต่จะทำให้ลูกค้าหรือผู้บริโภครู้สึกอย่างไรนั้นกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันจึงเป็นเรื่องที่นักการตลาดต้องหมั่นเฝ้าระวังการ Action บางอย่างของแบรนด์เสมอ เพราะทุกสิ่งจะเกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้