ทำไม Google Cache ถึงสำคัญกับการทำ SEO

Picture of THAITOPSEO
THAITOPSEO
ทำไม Google Cache ถึงสำคัญกับการทำ SEO

เป้าหมายหลักของเว็บไซต์ใด ๆ ก็คือการถูกค้นหาโดยกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเว็บของคุณจะเป็นการให้ข้อมูลหรือต้องการขายสินค้า ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้กับลูกค้า และสิ่งสำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นหาได้ คุณสามารถทำได้ผ่านการสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง, คีย์เวิร์ด (Keyword) ที่ดี, ภาพประกอบที่ดี และข้อมูลที่เป็นประโยชน์และตอบโจทย์ผู้ใช้งาน

ด้วยการทำทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำ SEO และช่วยให้ Google ค้นพบเว็บไซต์ของคุณได้ แต่คุณเองก็ต้องแน่ใจเหมือนกันว่าเว็บไซต์ได้ถูกจัดทำดัชนี เพื่อให้เว็บสามารถจัดอันดับได้ดีบนหน้าผลการค้นหา (SERP) เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณสามารถถูกนำไปจัดอันดับได้นั้น Google จะใช้โปรแกรมที่เรียกว่า Googlebot ในการค้นหาเว็บ โดยสิ่งที่ Googlebot อ่านนั้นจะกำหนดความเกี่ยวข้องและอันดับของหน้าเว็บไซต์คุณ

หลังจากนั้น Google จะจัดเก็บข้อมูลที่ได้รับจาก Googlebot และเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ Googlebot เห็นและจัดเก็บส่งกับทาง Google เป็นอย่างไร คุณต้องรู้จักและดู Google Cache ส่วนสำคัญที่มาแสดงสิ่งที่ Googlebot เห็นและนำมาช่วยปรับปรุงเว็บไซต์ได้ ซึ่งบทความครั้งนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับสิ่งนี้กันว่ามันคืออะไร ทำไมถึงมีความสำคัญกับการทำ SEO และมีวิธีการใช้งานอย่างไร?

Google Cache คืออะไร

Google Cache คืออะไร

Google Cache คือ ภาพสแนปช็อตแบบ HTML ของเว็บไซต์ของคุณ โดยตัว Googlebot จะทำการถ่ายภาพสแนปช็อตนี้ทุกครั้งที่มีการเข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl) และทำการเก็บสำรองเอาไว้ ในกรณีที่หน้าเว็บปัจจุบันไม่สามารถใช้งานหรือเปิดไม่ได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา การดูหน้าแคชจะแสดงให้เห็นถึงรูปลักษณ์หน้าเว็บของคุณในครั้งล่าสุดที่ Google เข้ามาเยี่ยมชม

หากคุณสงสัยว่าทำไมหน้าเว็บไซต์ของคุณถึงไม่มียอดการเข้าชมมากเท่าที่ควร หรืออยากรู้ว่า Google เข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl) บ่อยแค่ไหน คุณสามารถตรวจสอบและค้นหาข้อมูลนี้ได้จาก Google Cache

ความสำคัญของ Google Cache ที่เห็นได้ชัดเจนสุด อยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาบนโลกอินเทอร์เน็ต ทีมการตลาดและนักพัฒนาเว็บมักจะอัปเดตเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและประสบการณ์ของผู้ใช้งาน แต่ในบางครั้ง หากหน้าเว็บถูกลบหรือถูกแฮ็ก ผู้ใช้หรือเว็บมาสเตอร์อาจจะจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลที่เคยอยู่ล่าสุด นั้นคือสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าดูผ่านตัวแคชได้ แคชยังสามารถทำหน้าที่ข้อมูลแบบสะดวกสบาย ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีจากการสำรองข้อมูลด้วยตนเอง

วิธีการดูหน้า Cache ของเว็บไซต์บน Google

มีหลากหลายวิธีในการดูหน้าเว็บที่ถูกจัดเก็บด้วย Googlebot และทุกวิธีการสามารถทำได้ง่าย ๆ แต่มีอยู่ 2 วิธีหลักที่มักจะหยิบมาใช้งานดังนี้

  1. การค้นหาผ่าน Google Search
    วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ง่ายมาก โดยสามารถดูแคชของหน้าเว็บได้ผ่านหน้าผลการค้นหาของ Google หรือ Search Engine Results Page (SERP) ยกตัวอย่างเช่น ถ้าค้นหาคำว่า “เพนกวิน” หลังจากหน้าผลการค้นหาแสดงขึ้น ให้คุณคลิกที่จุดสามจุดแนวตั้งทางขวาของ URL เว็บไซต์ซึ่งจะแสดงกล่อง “About this Result” ของ Google แล้วกดเลือก “แคช (Cache)” เมื่อกดเข้าไปแล้วจะปรากฏภาพหน้าแคชของเว็บดังกล่าวขึ้นมา พร้อมบอกรายละเอียดวันและเวลาล่าสุดที่ทาง Googlebot เข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl) พร้อมกล่องด้านบนที่จะแสดงข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับแคช และวิธีการเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติม
  2. คำสั่ง ‘Cache’
    วิธีการนี้ค่อนข้างจะเฉพาะเจาะจง แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไป ด้วยการเพิ่มคำว่า “cache” ไว้หน้า URL ของเว็บไซต์ที่ต้องการจะดูแคช ตัวอย่างเช่น “cache:https://www.thaitopseo.co.th” เมื่อใช้งานผ่านเบราว์เซอร์อย่าง Google Chrome จากนั้นหน้าเว็บจะแสดงเป็นเวอร์ชันแคชที่ถูก Googlebot เก็บไว้ล่าสุด พร้อมแสดงข้อมูลพื้นฐาน และการเข้าถึงเพิ่มเติม

ทำไมถึงต้องใช้ Google Cache กับเว็บไซต์ที่ทำ SEO

ทำไมถึงต้องใช้ Google Cache กับเว็บไซต์ที่ทำ SEO

ตอนนี้เรารู้แล้วว่า Google Cache คืออะไร แล้วทำงานอย่างไร มาลองดูเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีความสำคัญกับการทำ SEO มีหลายเหตุผล ที่แคชสามารถช่วยคุณได้ โดยเฉพาะในกรณีที่หน้าเว็บของคุณมีปัญหาการโหลด ไม่ตอบสนอง หรือไม่แสดงผล คุณสามารถตรวจดูได้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ผ่านหน้าแคชของ Googlebot ที่เข้ามาเก็บข้อมูลครั้งล่าสุด รวมไปถึงยังสามารถดูได้ว่า Google จัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณอย่างไร เมื่อไร และบ่อยแค่ไหน

การเพิ่มประสิทธิภาพของภาพต่าง ๆ

เมื่อคุณเข้าดูหน้าแคชของเว็บไซต์ จะมีปุ่มกดแสดงเวอร์ชัน “เวอร์ชันที่แสดงข้อความเท่านั้น” เมื่อคลิกไปที่ลิงก์ดังกล่าว คุณจะได้เห็นในสิ่งที่ Googlebot เห็น อัลกอริทึมของ Googlebot นั้นไม่สามารถอ่านรูปภาพได้ มันสามารถอ่านได้แต่ข้อความเท่านั้น ดังนั้นเมื่อคุณเขียนโค้ดหน้าเว็บ ต้องแน่ใจว่าได้รวมองค์ประกอบข้อความสำหรับ Googlebot ที่อ่านได้บนรูปภาพด้วย นั้นคือการใช้คีย์เวิร์ด (Keyword) ลงใน Alt Text ทุกรูปภาพ และคำอธิบาย เพื่อบ่งบอกชัดเจนว่าภาพเหล่านี้คืออะไร เพื่อให้ Googlebot เข้าใจถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อถึง

แต่ข้อควรระวังคือคุณต้องแน่ใจว่าไม่ได้ใส่คีย์เวิร์ด (Keyword) ลงในหน้าเว็บของคุณมากจนเกินไป เพราะ Googlebot สามารถเห็นคำเหล่านี้ได้ และถ้ามันคิดว่าคุณใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไป มันจะทำเครื่องหมายว่าเว็บไซต์ของคุณมีการทำ SEO ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่การลดคะแนนอันดับของเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหา (SERP)

แสดงความเกี่ยวข้อง (Relevancy) หน้าเว็บไซต์ของคุณ

เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ Googlebot รับรู้ว่าเว็บไซต์ของคุณมีการสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันและมีอำนาจด้านโดเมนมากขึ้น มันจะจัดทำดัชนีและเก็บข้อมูลเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้คุณสามารถตรวจสอบความถี่ของ Googlebot ที่เข้ามาเก็บข้อมูลได้ผ่านหน้าแคชของ Google

หากวันที่ของหน้าแคชล่าสุดเกิดขึ้นวันนี้ และมีการอัปเดตอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ (ความถี่วันต่อวัน) มันบ่งบอกได้ว่าหน้าเว็บของคุณนั้นมีความเกี่ยวข้องและมีความสำคัญมากพอที่จะทำให้ Googlebot ต้องเข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl) เนื้อหาเอาไว้ทุกวัน เพราะมันสามารถบอกว่าเนื้อหาของคุณนั้นมีประโยชน์ต่อผู้อ่านหรือผู้เข้าชมบนเว็บได้เป็นอย่างดี

ปรับปรุงและเพิ่มคุณภาพเนื้อหาบนเว็บ

Google จะเข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl) และจัดทำดัชนีหน้าเว็บบ่อยมากขึ้น เมื่อเว็บนั้นมีการอัปเดตเนื้อหาใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ และตราบใดที่สามารถรักษาคุณภาพของเนื้อหาให้ดี ความถี่ในการโพสต์เนื้อหาใหม่ ๆ มีอย่างสม่ำเสมอ มันสามารถช่วยเพิ่มอันดับหน้าเว็บไซต์ได้อย่างแน่นอน

แต่ในทางตรงกันข้าม หากพบว่า Google ไม่เข้ามาเก็บข้อมูล หรือจัดทำดัชนีเว็บไซต์บ่อยเท่าที่ต้องการ มันบ่งบอกได้ว่าตอนนี้คุณต้องมีการปรับปรุงเนื้อหาหน้าเว็บไซต์ให้มีคุณภาพมากกว่าเดิม เพราะเนื้อหาเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เมื่อคุณต้องการปรับปรุงอันดับเว็บให้สูงขึ้น และเนื้อหาที่ดีมากขึ้นจะทำให้ Google เข้ามาเก็บข้อมูลและคราวล์เว็บไซต์บ่อยมากขึ้นเท่านั้น

สุดท้ายแล้ว ถ้าหน้าเว็บของคุณมีการโพสต์เนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ แต่ Google ก็ยังคงไม่เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บไซต์ของคุณบ่อยเท่าที่ควร คุณอาจจะต้องทำการปรับปรุงคุณภาพเนื้อ, ไม่ได้เน้นที่ปริมาณ, ใช้คีย์เวิร์ด (Keyword) ที่ถูกต้อง และปรับปรุงความน่าเชื่อถือผ่านหลักการ E-A-T หรือ E-E-A-T

วิธีการปรับปรุง Google Cache บนเว็บไซต์ของคุณ

วิธีการปรับปรุง Google Cache บนเว็บไซต์ของคุณ

Google Cache สามารถบอกหลายสิ่งหลายอย่างของเว็บไซต์ได้ หากคุณดูวันที่ของหน้าแคช แล้วรู้สึกไม่พึงพอใจกับความถี่ที่เห็น ลองเปิดดูหน้าแคชเวอร์ชันข้อความเท่านั้น และดูว่าสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับเนื้อหาได้บ้าง โดยมีวิธีการปรับปรุงดังนี้

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อความทั้งหมดที่ปรากฏบนหน้าเว็บอยู่ในตำแหน่งและบริบทที่เหมาะสม เพราะ Googlebot อ่านแคชแบบข้อความเท่านั้น ไม่สามารถอ่านภาพได้ หากมีการใช้งานภาพเพื่อสื่อความหมาย ข้อความใดที่คุณเพิ่มในส่วนของ Alt Text อาจจะไม่ปรากฏในบริบทได้ หากหน้าเว็บของคุณมีการใช้งานรูปภาพหรือสื่อประกอบเนื้อหาและมีข้อความอยู่ในส่วน Alt Text ด้วย พร้อมแสดงผลในหน้าแคชเวอร์ชันข้อความ Googlebot ก็สามารถอ่านเนื้อหาทั้งหมดพร้อมตัดสินคุณภาพได้ดีมากขึ้น
  • เนื้อหา (Content) มีบทบาทสำคัญอย่างมาก คุณควรประเมินในส่วนนี้ทั้งในแง่ของสไตส์และเทคนิคการเขียน มีการสะกดคำและไวยากรณ์ที่ถูกต้อง ทำให้เนื้อหามีความเป็นเอกลักษณ์ น่าสนใจ และมีความเป็นมืออาชีพ
  • ปรับความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด (Keyword) ในหน้าเว็บของคุณ ผสานคีย์เวิร์ดให้เข้ากับเนื้อหาได้เป็นอย่างธรรมชาติ อย่าใช้คีย์เวิร์ดน้อยหรือมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่น เนื้อหาของคุณมี 300 คำ ควรมีคีย์เวิร์ดไม่เกิน 10 คำ และไม่ควรมีเพียงหนึ่งคำโดด ๆ บนเนื้อหา หรือไม่ก็ลองเปิดมุมมองหน้าแคชเวอร์ชันข้อความและตรวจสอบดูว่าคีย์เวิร์ดอยู่ในตำแหน่งหรือบริบทที่ดูเป็นธรรมชาติมากน้อยแค่ไหน

Google Cache มีข้อจำกัดอะไรหรือไม่

Google Cache มีข้อจำกัดอะไรหรือไม่

แม้ว่า Google Cache จะเป็นเครื่องมือที่ดีที่ช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์ในการทำ SEO ได้ แม้ว่าแสดงให้เห็นภาพรวมของสิ่งที่ Google เห็น แต่มันไม่ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงอัลกอริทึมว่ามีการทำงานอย่างไร จึงกล่าวได้ว่า Cache สามารถให้แนวคิดมากมายแก่คุณได้ในการทำ SEO แต่มันไม่ได้สมบูรณ์แบบทีเดียว เพราะมันมีข้อจำกัดดังนี้

  1. การอัปเดตของแคช: หน้าแคชที่ถูก Google จัดเก็บไว้อาจจะไม่ได้รับการอัปเดตทุกครั้งที่ Googlebot จะเข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl) เว็บไซต์ ซึ่งหมายความว่าข้อมูลที่คุณเห็นในหน้าแคชอาจจะไม่ใช่เนื้อหาล่าสุดที่ Google เห็นได้ด้วยเช่นกัน
  2. ความครอบคลุม: Google ไม่จำเป็นต้องเข้าไปจัดเก็บข้อมูลหน้าเว็บไซต์ทุกหน้า ซึ่งหมายความว่าอาจมีบางส่วนของหน้าเว็บไซต์ที่ไม่ปรากฏในส่วนของหน้าแคชด้วยเช่นกัน
  3. การอ่านเนื้อหา: Googlebot อ่านเนื้อหาของเว็บไซต์ได้แค่ในรูปแบบข้อความเท่านั้น ดังนั้นหากเว็บไซต์ใดมีการใช้ JavaScript หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ซับซ้อน บางครั้งหน้าแคชอาจจะไม่สามารถแสดงเนื้อหาทั้งหมดได้ หรืออาจปรากฏเป็นหน้าว่าง ๆ ได้

เนื่องด้วยข้อจำกัดเหล่านี้จึงทำให้ Google Cache จึงควรใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์และเข้าใจเว็บไซต์ที่ทำ SEO พอ แต่ไม่ควรพึ่งพาเป็นแหล่งข้อมูลเดียวในการตัดสินใจทางเทคนิคหรือการทำ สร้าง ปรับปรุงเนื้อหา

บทสรุป Google Cache

Google Cache เป็นเครื่องมือที่จัดเก็บสำเนาหรือภาพสแนปช็อตของหน้าเว็บไซต์ที่ Google เก็บเอาไว้ มันทำให้เห็นถึงภาพรวมของสิ่งที่ Google เห็นในครั้งล่าสุดที่เข้ามาเก็บข้อมูล ซึ่งมีประโยชน์ในการวิเคราะห์การทำ SEO และเข้าใจว่าเนื้อหาของคุณที่ Google และผู้ใช้งานเห็นเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ตามแม้ตัว Google Cache ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาเป็นแหล่งข้อมูลเดียวได้ แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับผู้ทำเว็บ SEO แต่ก็ควรใช้เครื่องมือตัว และวิธีการวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครอบคลุมและถูกต้องเช่นกัน

Search
Categories