รู้จัก Duplicate content คืออะไร เพื่อป้องกันผลเสียต่อการทำ SEO

Picture of THAITOPSEO
THAITOPSEO
รู้จัก Duplicate content คืออะไร เพื่อป้องกันผลเสียต่อการทำ SEO

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในการทำ SEO สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้และเป็นเหมือนดั่งปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเว็บไซต์เลยคือ Content หรือเนื้อหาประกอบหน้าเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ เนื้อหาประกอบภาพ หรือบทความ หลายคนคงรู้กันอยู่แล้วว่าไม่ว่าจะทำอะไร Content ก็เป็นเหมือนดั่งใจกลางความสำเร็จ เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่า “Content is King” และในการทำ SEO เอง เนื้อหา (Content) ก็นับเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ขาดไม่ได้ แต่ในการทำเนื้อหาก็มีปัญหาหนึ่งที่มักเกิดขึ้นบ่อยแบบไม่ได้ตั้งใจ (หรือตั้งใจ) นั้นคือ Duplicate content ที่สร้างผลเสียต่อการทำ SEO แบบไม่รู้ตัว ซึ่งในบทความครั้งนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับปัญหานี้กันว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร ส่งผลเสียต่อการทำ SEO มากน้อยแค่ไหน และมีวิธีป้องกันอย่างไร?

Duplicate content คืออะไร

Duplicate content คืออะไร

“Duplicate content” หรือ “เนื้อหาซ้ำกัน” คือ การที่มีเนื้อหาหรือข้อความที่ปรากฏบนเว็บไซต์หรือหน้าเว็บเพจมีลักษณะคล้ายคลึงหรือเหมือนกันกับเนื้อหาบนเว็บไซต์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเขียน สำนวน วลี หรือการเรียบเรียง แม้จะมีการปรับเปลี่ยนข้อความหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเขียน แต่ถ้ายังมีส่วนที่เหมือนกันมากเกิน 80% ก็ถือว่าเข้าค่ายเนื้อหาซ้ำกันได้เช่นกัน

โดยปัญหาเนื้อหาซ้ำกันเกิดขึ้นได้หมด ไม่ว่าจะเป็นภายในเว็บไซต์เดียวกันหรือเว็บไซต์ภายนอก ที่อยู่บนโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อให้เข้าใจสิ่งนี้ได้ง่ายกว่าเดิม ลองคิดภาพว่าเนื้อหาที่ซ้ำกันก็เหมือนกับการที่เรามีหนังสือ 2 เล่มที่เขียนเรื่องเดียวกัน เนื้อหาคล้ายกัน แต่มีภาพหน้าปกที่แตกต่างกัน แม้ว่าภาพหน้าปกจะแตกต่างกันแค่ไหน แต่เนื้อหาภายในยังคงเป็นเรื่องเดียวกัน โดยปัญหาของ Duplicate content คือ การที่เครื่องมือค้นหาอย่าง Google เกิดความสับสนว่าควรจะแสดงเนื้อหาแบบไหนให้กับผู้ใช้งานหรือผู้ค้นหาดี เพราะทั้งสองแหล่ง (หรือมากกว่านั้น) มีเนื้อหาที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับเว็บไซต์กับเว็บที่ทำ SEO เป็นอย่างมาก

สาเหตุของการเกิด Duplicate content

สาเหตุของการเกิด Duplicate content

ปัญหาอย่าง Duplicate content บนเว็บไซต์เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะในเว็บไซต์เดียวกันเอง หรือเนื้อหาซ้ำกับเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการทำ SEO และการจัดอันดับเว็บไซต์ การเข้าใจสาเหตุอาจจะทำให้คุณป้องกันปัญหาและผลกระทบได้ โดยสาเหตุหลัก ๆ ได้แก่

  • การคัดลอกเนื้อหา
    สาเหตุของการเกิดปัญหาเนื้อหาซ้ำกันลำดับต้น ๆ อย่างการคัดลอกเนื้อหา คือการเอาเนื้อหาจากเว็บอื่นมาใส่ในเว็บของเราโดยไม่มีการใส่แหล่งที่มาหรือไม่มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเนื้อหาแต่อย่างใด คัดลอกและวางลงบนหน้าเว็บทันที ซึ่งส่งผลให้เนื้อหาเหล่านี้ปรากฏอยู่บนหลาย ๆ เว็บที่ URL แตกต่างกัน การคัดลอกเนื้อหาอาจเกิดขึ้นได้จากเว็บไซต์อื่นมาคัดลอกเนื้อหาของเว็บเราโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ใส่แหล่งอ้างอิงหรือให้เครดิต หรือการที่เราเองไปคัดลอกเนื้อหาจากแหล่งอื่นมาใช้ (โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ) โดยไม่ใส่แหล่งที่มาหรือให้เครดิตเช่นกัน
  • URL ที่คล้ายกันหรือมีมากกว่า 1 ชุด
    บางเว็บไซต์อาจจะมีการสร้าง URL ที่ไม่สอดคล้องกับเนื้อหาหรือคำหลักที่ใช้งาน หรือมีการสร้าง URL หลายรูปแบบสำหรับหน้าเว็บเดียวกัน โดยมีเนื้อหาที่เหมือนกัน แต่ URL แตกต่างกันเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น หน้าเว็บ A มีเนื้อหาเหมือนกับหน้าเว็บ B แต่แตกต่างกันเพียงแค่การเข้าถึงเว็บแบบ HTTP และ HTTPS หรือมีการเข้าถึงผ่าน www และไม่มี www สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาเนื้อหาซ้ำกันได้บน URL ที่แตกต่างกันบนเว็บไซต์เดียวกัน ยกตัวอย่าง URL ที่มักมีลักษณะคล้ายกันมากกว่า 1 ชุด
    • https://www.yoursite.com
    • https://yoursite.com
    • http://www.yoursite.com
    • http://yoursite.com
  • การเปลี่ยนเส้นทาง URL ที่ไม่ถูกต้อง
    เว็บไซต์ที่ทำมานานหรืออาจจะมีการสร้างหน้าเว็บใหม่ รวมไปถึงการเปลี่ยนเส้นทาง URL โดยไม่ได้มีการตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางอย่างถูกต้อง (redirect) ซึ่งส่งผลให้เนื้อหาเดิมที่อยู่บน URL (เก่า) ยังสามารถเข้าถึง และแสดงเนื้อหาหาเก่าอยู่ ทำให้เกิดปัญหาเนื้อหาซ้ำกับเนื้อหาที่อยู่บน URL ใหม่บนเว็บไซต์เดียวกัน

Duplicate content ส่งผลต่อการทำ SEO มากแค่ไหน?

Duplicate content ส่งผลต่อการทำ SEO มากแค่ไหน

แน่นอนว่า Duplicate content เป็นปัญหาสำหรับเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ที่ต้องทำหน้าที่ในการจัดอันดับเว็บไซต์ตามเนื้อหาหรือคำหลัก (Keyword) ซึ่งปัญหานี้ทำให้เครื่องมือค้นหาเกิดความสับสนเป็นอย่างมาก รวมไปถึงเป็นการสร้างเนื้อหาที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ค้นหารือผู้ใช้งาน จนทำให้เกิดผลเสียต่อการทำ SEO ในเรื่องของการจัดอันดับเว็บไซต์ โดยผลกระทบปัญหาเนื้อหาซ้ำกันที่ส่งผลต่อ SEO มีดังนี้

  • ลดการจัดอันดับเว็บไซต์
    เครื่องมือค้นหาอย่าง Google ไม่ชอบการที่มีเว็บไซต์คัดลอกเนื้อหาเหมือนกันหรือคัดลอกมาจากเว็บไซต์อื่น ๆ จึงทำให้ทาง Google ตัดสินใจลดอันดับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเหมือนกันลงในทันที ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ สมมติว่า มีเว็บหน้า A B C ที่มีเนื้อหาเหมือนหรือคล้ายกันมาก Google ไม่แน่ใจว่าหน้าเว็บไหนกันแน่ที่เป็นเว็บต้นฉบับ จึงตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยกันลดอันดับทั้ง 3 เว็บลงไปในทันที แบบไม่สนว่าใครจะเป็นต้นฉบับหรือใครคัดลอกมาแต่อย่างใด
    แต่การลดจัดอันดับจะไม่มีผลกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเป็นต้นฉบับจริง ๆ ที่ไม่ได้ทำการคัดลอกเนื้อหาจากเว็บอื่นแต่อย่างใด (Google สามารถรู้ได้ด้วยเช่นกัน)
  • เพิ่มบทลงโทษให้เว็บไซต์ (ยกเลิกการจัดอันดับ)
    บางครั้งเว็บไซต์ที่มีปัญหาเนื้อหาซ้ำกัน ไม่ได้เพียงแค่ถูกลดการจัดอันดับเว็บบนหน้าผลการค้นหา (SERP) เท่านั้น แต่อาจจะถูกทางเครื่องมือค้นหาอย่าง Google เพิ่มบทลงโทษมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะอันดับเว็บตกลงอย่างรวดเร็ว หรือหน้าเว็บไม่ได้ถูกเข้าเกณฑ์การจัดอันดับบนหน้าผลการค้นหา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ยากมาก ถ้าเว็บไม่ได้จงใจไปคัดลอกเนื้อหามาจากเว็บไซต์อื่น ๆ รวมไปถึงการไม่อ้างอิงหรือใส่แหล่งที่มาให้เครดิตกับเว็บต้นฉบับ (ในกรณีที่ Google รู้ว่าเว็บใดเป็นแหล่งที่มาหรือต้นฉบับ)

วิธีป้องกันปัญหา Duplicate content

วิธีป้องกันปัญหา Duplicate content

การเกิด Duplicate content สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุตามบทความข้างต้นที่กล่าวไว้ และสามารถส่งผลกระทบต่อการทำ SEO ของเว็บไซต์นั้นได้โดยตรง จนทำให้เว็บถูกลดอันดับหรือมีบทลงโทษจากทาง Google ดังนั้นการรู้วิธีป้องกันปัญหานี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ที่ต้องการให้เว็บไซต์ของตนเองประสบความสำเร็จในด้าน SEO โดยวิธีป้องกันปัญหาเนื้อหาซ้ำกันมีดังนี้

ตรวจสอบเนื้อหาที่มี URL ใกล้เคียงกัน (เว็บไซต์ e-commerce)

สำหรับเว็บไซต์ที่มี URL ใกล้เคียงกันหลาย ๆ หน้าเว็บเพจอย่างเว็บไซต์ E-commerce หรือหน้าสินค้าที่หลากหลาย อาจจะมีการสร้างเนื้อหาประกอบสินค้าที่มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งการตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้มีการสร้างหน้าสินค้าหรือเนื้อหาสินค้าที่ซ้ำกันหรือทับซ้อนกัน ก็เป็นหนึ่งในวิธีป้องกันปัญหาเนื้อหาซ้ำกันที่ดีที่สุด โดยการลองไล่เช็กตาม URL สินค้าที่เหมือนกัน และตรวจสอบเนื้อหาประกอบว่ามีเนื้อหาที่ซ้ำกันหรือไม่ ?

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณมีสินค้าเสื้อยืดสีขาว 2 แบรนด์ในเว็บเดียว ควรจะมีเนื้อหาประกอบภาพสินค้าที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ไม่ควรคัดลอกเนื้อหาสินค้าจากแบรนด์หนึ่งไปยังอีกแบรนด์หนึ่งอย่างเด็ดขาด

สร้างเนื้อหา (Content) ในแบบของตนเอง

หนึ่งในวิธีป้องกันปัญหา Duplicate content ที่มีประสิทธิภาพที่สุด และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเว็บไซต์ใด คือการสร้างเนื้อหา (Content) ในรูปแบบของตนเอง หรือที่เรียกกันว่า Original Content ไม่ว่าจะเป็นการโพสลงสื่อโซเชียลมีเดีย หรือการเขียนโฆษณาในเว็บไซต์อื่นเพื่อทำ Backlink มายังเว็บตัวเอง โดยตัวเนื้อหาอาจจะมีการอ้างอิงถึงที่มาของข้อมูล แต่ไม่ควรนำข้อมูลที่นำมาใช้หรือใส่เนื้อหาข้อความลงไปแบบดิบ ๆ (แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงข้อความใด ๆ ) ควรทำการเปลี่ยนแปลง หรือที่เรียกว่า Rewrite ให้เนื้อหาแตกต่างกัน ด้วยการทำแบบนี้จะทำให้คุณมั่นใจได้ทันทีว่าเว็บไซต์จะได้เนื้อหาที่ไม่ซ้ำกับใครหรือซ้ำกับตัวเองแน่นอน และป้องกันปัญหาเนื้อหาซ้ำไปได้แน่นอน

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์เปลี่ยนเส้นทางถูกต้อง (Redirect)

สำหรับเว็บไซต์ที่อยู่มานาน อาจมีการเปลี่ยนเส้นทาง หรือสร้างหน้าเว็บใหม่สำหรับเนื้อหาเก่า ๆ ขึ้นมา การตรวจสอบโครงสร้าง URL ก็สำคัญเช่นกัน เพราะบางครั้งคุณอาจไม่ได้มีเพียงแค่หน้าเว็บเพจเดียวกันหลายเวอร์ชัน แต่ยังมีหน้าเว็บไซต์เดียวหลายแบบที่มีเนื้อหาเหมือนกันหมด

  • https://www.yoursite.com (HTTPS, www)
  • https://yoursite.com (HTTPS, non-www)
  • http://www.yoursite.com (HTTP, www)
  • http://yoursite.com (HTTP, non-www)

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเว็บไซต์ของคุณมีเวอร์ชัน “www” และเปลี่ยนเส้นทางไปยังเวอร์ชัน “ไม่มี www” (หรือในทางกลับกัน) กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้หากคุณเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณไปใช้ HTTPS และไม่ได้เปลี่ยนเส้นทางไซต์ HTTP ตัว URL แบบเดิมยังคงปรากฏให้เห็นและเข้าถึงได้ และมีเนื้อหาไปซ้ำกัน URL ใหม่ ดังนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ทั้งหมดที่มี URL ใกล้เคียงหรือมีการเปลี่ยนเส้นทางนั้นถูกต้อง โดยการใช้งาน Redirect 301 เพื่อไม่ให้เหลือหน้าเว็บที่มีเนื้อหาเดียวกันปรากฏซ้อนทับให้ Google พบเห็น

ใช้งาน Canonical Tag

การใช้งาน Canonical Tag เป็นตัวบ่งบอกกับเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ว่าหน้าเว็บไหนเป็นหน้าเว็บหลัก และหน้าเว็บไหนเป็นหน้าเว็บรองที่มีเนื้อหาซ้ำกัน (สำหรับเว็บไซต์ E-commerce ที่มีเนื้อหาประกอบสินค้าซ้ำกัน และมีเนื้อหาซ้ำกันเยอะ) ซึ่งการใช้งาน Canonical Tag จะช่วยป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาเดิมที่ยังคงอยู่ และพุ่งเป้าไปที่หน้าเว็บหลักแต่เพียงอย่างเดียว โดยการใส่ Canonical Tag (rel=”canonical) ไปที่หน้าเว็บที่มีเนื้อหาซ้ำกัน และเป็นหน้าเว็บหลัก ที่ต้องการให้ Google เห็นและนำไปจัดอันดับเว็บไซต์

บทสรุป Duplicate content เนื้อหาที่ซ้ำกันได้บนโลกอินเทอร์เน็ต

Duplicate content หรือ “เนื้อหาซ้ำกัน” คือ การที่มีเนื้อหาเดียวกันปรากฏบนหลาย URL หรือหลายเว็บไซต์ โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด การมีเนื้อหาซ้ำกันเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ส่งผล กระทบต่อการทำ SEO เพราะมันทำให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google สับสนว่าเว็บใดกันแน่ที่เป็นเจ้าของเนื้อหา หรือต้นฉบับ และไม่รู้ว่าจะนำเว็บใดมาแสดงบนหน้าผลการค้นหา (SERP) จนนำไปสู่การลดอันดับเว็บทั้งหมดที่มีเนื้อหาซ้ำกัน หรือร้ายแรงสุดคือบทลงโทษยกเลิกการจัดอันดับของเว็บไซต์ ดังนั้นการรู้และเข้าใจความหมาย รวมไปถึงวิธีการป้องกันปัญหาเนื้อหาซ้ำกัน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้กับเว็บไซต์ที่ทำ SEO และต้องการประสบความสำเร็จ เพราะเนื้อหา (Content) เป็นเหมือนดั่งแกนกลางในการประสบความสำเร็จในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำ SEO

Search
Categories