E-commerce คืออะไร มารู้จักการทำธุรกิจออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในยุคดิจิทัล

Picture of THAITOPSEO
THAITOPSEO
E-commerce คืออะไร มารู้จักการทำธุรกิจออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในยุคดิจิทัล

การทำธุรกิจออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคดิจิทัล ที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึงได้ง่ายแบบนี้ และหลาย ๆ ธุรกิจเริ่มสนใจและหันมาทำกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก หรือธุรกิจขนาดใหญ่อย่างแบรนด์ชั้นนำ และมักจะมีคำ ๆ หนึ่งที่ธุรกิจเหล่านี้มักพูดถึงอยู่บ่อยครั้งอย่าง “E-commerce” ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินคำ ๆ นี้ผ่านหูหรือเห็นผ่านตาอยู่มาบ้างแล้ว แต่มักมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว จึงไม่ได้สนใจกัน น้อยคนนักที่จะรู้จักความหมายของมันอย่างแท้จริงแล้ว ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจคำว่า E-commerce กันมากขึ้น บทความในครั้งนี้เราจะพาไปเจาะลึก และตรวจดูในมุมมองที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ความหมาย, ประเภท, ช่องทางการขาย, ประโยชน์ต่อผู้ซื้อและผู้ขาย รวมไปถึงแนวโน้มในอนาคตที่เป็นไปได้

E-commerce คืออะไร?

E-commerce คืออะไร

E-commerce (อีคอมเมิร์ซ) คือ การทำธุรกรรมทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้า หรือบริการผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต ที่เรียกกันว่าการทำธุรกิจออนไลน์ หรือธุรกิจ E-commerce โดยทั่วไปแล้วคำ ๆ นี้ครอบคลุมไปถึงกระบวนการต่าง ๆ ในการทำธุรกิจซื้อขายออนไลน์ เช่น การค้นหาข้อมูลสินค้า, การตกลงราคา, การชำระเงิน และการจัดส่งสินค้า และยังรวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ เข้ามาผสมผสานในการทำธุรกิจออนไลน์ด้วย ไม่ว่าจะเป็น อีเมล, โทรศัพท์มือถือ และโซเชียลมีเดียเพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

6 ประเภทของธุรกิจ E-commerce

โดยทั่วไปแล้ว E-commerce จะแบ่งรูปแบบการทำธุรกิจเป็นหลายประเภท โดยจะแบ่งตามผู้ซื้อและผู้ขายว่าเป็นใคร แต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะตัว โอกาส และความท้าทายที่แตกต่างกันไป

  1. B2C (Business to Consumer) คือ การทำธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการ (Business) และผู้บริโภค (Consumer) โดยตรง เช่น การขายสินค้า บริการต่าง ๆ ของแบรนด์ธุรกิจ เป็นต้น เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป
  2. B2B (Business to Business) คือ การทำธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการ (Business) ด้วยกันเอง ยกตัวอย่างเช่น การขนส่งสินค้าจากโรงงานผลิตไปยังห้างต่าง ๆ ที่จัดจำหน่ายสินค้า
  3. B2G (Business to Government) คือ การทำธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการ (Business) กับทางภาครัฐ (Government) ซึ่งจะเป็นการจัดซื้อสินค้าจากธุรกิจมาใช้ในหน่วยงานของรัฐบาลผ่านอินเทอร์เน็ต
  4. G2C (Government to Consumer) คือ การทำธุรกิจซื้อขายระหว่างภาครัฐ (Government) กับประชาชน (Consumer) เช่น การใช้บริการต่าง ๆ ของภาครัฐผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต เช่น การเสียภาษี การจัดจองคิว และการชำระเงินบริการต่าง ๆ ของทางภาครัฐ
  5. G2G (Government to Government) คือ การทำธุรกรรมระหว่างภาครัฐ (Government) ด้วยกันเอง ยกตัวอย่างเช่น การทำข้อตกลง หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตผ่านกระทรวงต่าง ๆ เป็นต้น
  6. C2C (Consumer to Consumer) คือ การทำธุรกรรมระหว่างผู้บริโภค (Consumer) ด้วยกันเอง เช่น การซื้อขาย สินค้ามือ 2 หรือการแลกเปลี่ยนเทรดสินค้าไอทีต่าง ๆ

ช่องทางการขายของ E-commerce

ช่องทางการขายของ E-commerce

การทำธุรกิจออนไลน์หรือ E-commerce ได้กลายเป็นวิธีที่สำคัญและทรงพลังอย่างมากในการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน ด้วยความหลากหลายของช่องทางในการขาย ทำให้ผู้ประกอบหรือธุรกิจมีทางเลือกในการเข้าถึงและขยายธุรกิจได้มากกว่าเดิม โดยช่องทางต่อไปนี้คือช่องทางที่ธุรกิจ E-commerce สามารถทำได้ พบเห็นได้บ่อยและได้รับความนิยม

Marketplace

Marketplace หรือตลาดออนไลน์ คือแพลตฟอร์มที่รวมร้านค้าหลาย ๆ ร้านเข้าด้วยกัน โดยที่ผู้ขายสามารถลงทะเบียนเปิดร้านและเริ่มขายสินค้าของตัวเองได้ทันที ตัวอย่างของ Marketplace ที่นิยมเช่น Lazada, Shopee, หรือ Amazon

ข้อดีของ Marketplace
สิ่งที่น่าสนใจของ Marketplace คือ เป็นแหล่งรวบรวมร้านค้า หรือแบรนด์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้มีสินค้าหลากหลายประเภท และทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกมากกว่าเดิมผ่านการเปรียบเทียบราคาสินค้า รวมไปถึงการชำระเงินและจัดส่ง ที่ทำให้การซื้อขายกลายเป็นเรื่องง่ายในทันที

ข้อเสียของ Marketplace
แม้ Marketplace จะมีข้อดีที่น่าสนใจ แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลยสักทีเดียว โดยข้อเสียหลัก ๆ ที่เห็นได้ง่ายคือ การที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับการขายสินค้า หรือการเข้าร่วม รวมไปถึงการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง เพราะมีร้านค้ามากมายที่เข้าร่วม

เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ คือ การที่ธุรกิจหรือแบรนด์สร้างเว็บไซต์ของตัวเอง และนำสินค้าหรือบริการของตนเองมาวางขายผ่านทางหน้าเว็บไซต์ที่ออกแบบเอง การขายผ่านเว็บไซต์นับเป็นหนึ่งในวิธีที่ธุรกิจมักใช้งานกัน เพราะสามารถออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์และความต้องการของแบรนด์ รวมไปการนำเสนอสินค้า หรือบริการได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่มีการแข่งขันโดยตรงจากร้านค้าอื่น ๆ เพราะเป็นหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจเพียงหนึ่งเดียว

ข้อดีของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
สิ่งที่น่าสนใจของการขายผ่านเว็บไซต์เลยคือ การที่เว็บไซต์สามารถเก็บข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรมการเลือกซื้อขาย การนำเสนอโปรโมชั่นที่น่าสนใจและเหมาะสมให้กับผู้เข้าชมได้อย่างตรงจุด พร้อมการปรับแต่งที่ยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มฟีเจอร์สุดพิเศษให้กับทางลูกค้า เช่น การเพิ่มระบบสมาชิก หรือโปรโมชั่นสะสมคะแนน

ข้อเสียของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
ข้อเสียเดียวของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเลยคือ ต้นทุนและเวลา เพราะเว็บไซต์ต้องเริ่มสร้างตั้งแต่ศูนย์ จึงทำให้ต้องการเวลาและเงินทุนในการสร้าง รวมไปความท้าทายในการดึงดูดลูกค้า เพราะหากหน้าเว็บไซต์ออกแบบมาได้ไม่น่าสนใจ หรือดูยากไป ก็อาจทำให้ลูกค้าที่เข้าชมกดออกหน้าเว็บหนีได้เช่นกัน

Social Media Commerce

การขายผ่าน Social Media Commerce คือ การซื้อขายสินค้า และบริการผ่านแพลตฟอร์มของโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, TikTok หรือ LINE ซึ่งปัจจุบัน Social Media เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนทำให้มีการพัฒนาระบบให้ผู้ใช้งานสามารถทำการซื้อขายสินค้า บริการ พร้อมชำระเงินผ่านแพลตฟอร์มนั้น ๆ ได้แบบทันที

ข้อดีของ Social Media Commerce
ข้อดีหนึ่งที่ทำให้ Social Media กลายเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบันเลยคือ การที่เข้าถึงผู้คนได้หลากหลาย และเป็นจำนวนมาก ทำให้มีโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งสื่อสารกันได้โดยตรงผ่านแพลตฟอร์ม

ข้อเสียของ Social Media Commerce
ข้อเสียของ Social Medai ที่เห็นได้ชัดเลยคือ การแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ทำให้ต้องคิดค้นและสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา และมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า เมื่อเทียบกับช่องทางขายอื่น ๆ เช่น Marketplace หรือเว็บไซต์

ประโยชน์ของ E-commerce ต่อผู้ซื้อและผู้ขาย

ประโยชน์ของ E-commerce ต่อผู้ซื้อและผู้ขาย

E-commerce หรือการทำธุรกรรมซื้อขายออนไลน์นั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่กับธุรกิจหรือแบรนด์เท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขายด้วยเช่นกัน โดยมีประโยชน์ดังนี้

  1. ความสะดวกสบาย
    ผู้ซื้อ: ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเลือกดูและสั่งซื้อสินค้าได้ในทุกที่ทุกเวลาที่มีอินเทอร์เน็ต ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังหน้าร้านค้าหรือต้องต่อแถวเพื่อชำระเงิน ทำให้ผู้ซื้อสามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปได้
    ผู้ขาย: ผู้ขายสามารถเปิดร้านค้าออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง / 7 วัน ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายกว่าเดิม อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องมีพนักงานที่ต้องมาคอยดูแลหน้าร้านตลอดเวลาอีกด้วย
  2. ตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้น
    ผู้ซื้อ: การซื้อของออนไลน์ ทำให้ผู้ซื้อเข้าถึงสินค้าและบริการได้มากกว่าเดิม ทำให้มีตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้น กว่าการเข้าไปซื้อที่ร้านค้าทั่วไป สามารถเลือกเปรียบเทียบสินค้าจากหลายร้านได้ในเวลาเดียวกัน เพื่อเลือกสินค้าที่ตรงกับความต้องการและมีราคาที่คุ้มค่าที่สุดได้ในทีเดียว
    ผู้ขาย: ช่วยให้ผู้ขายสามารถนำเสนอสินค้าและบริการของตัวเองไปยังกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายได้มากขึ้น พร้อมทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลาได้ทันท่วงที เพื่อเปิดโอกาสและตัวเลือกให้กับผู้บริโภคได้มากกว่าเดิม
  3. การประหยัดเงิน
    ผู้ซื้อ: E-commerce ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเปรียบเทียบราคาสินค้าจากร้านค้าต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งหาโปรโมชั่นหรือส่วนลดที่ไม่มีในร้านค้าปกติ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และมีโอกาสได้สินค้าราคาถูกกว่าปกติ เมื่อซื้อสินค้าจากตลาดที่มีการแข่งขันสูง
    ผู้ขาย: ผู้ขายสามารถลดต้นทุนการเข่าพื้นที่ ค่าใช้จ่ายในการดูแลร้านค้า และค่าใช้จ่ายในการจัดการสินค้า และนำยอดส่วนต่างดังกล่าวมาใช้ลงทุนในการเป็นส่วนลดหรือทำให้สินค้าราคาถูกลงได้ เพื่อแข่งขันในตลาดของตัวเองได้มากขึ้น

แนวโน้ม และความเป็นไปได้ในอนาคตของ E-commerce

แนวโน้ม และความเป็นไปได้ในอนาคตของ E-commerce

แนวโน้มของ E-commerce นับได้ว่ามีโอกาสเติบโต และมีหลากหลายความเป็นไปได้มาก เนื่องจาก E-commerce ขับเคลื่อนผ่านเทคโนโลยีอย่างอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ที่ยังสามารถพัฒนาและมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการซื้อขายอยู่เรื่อย ๆ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนสุดคือ ก่อนหน้าปี 2020 ช่วงที่โควิด -19 ยังไม่ได้แพร่หลายในไทย ธุรกิจ E-commerce ยังไม่ได้รับความนิยมมาก แต่ก็มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งการเข้ามาของโควิด -19 ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจหันมาสนใจและเปิดร้านค้าออนไลน์กันมากขึ้น อันเนื่องจากการเจอหน้ากันไม่ได้ เมื่อการเจอหน้าหรือพบปะไม่สามารถทำได้ อินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นสื่อกลางใหม่ที่ทำให้กลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่เคยสนใจหันมาสนใจและใช้งานกันมากขึ้น จนทำให้ตลาด E-commerce ในช่วงนั้นเติบโตได้อย่างรวดเร็วเลยทีเดียว

ดังนั้นจะกล่าวได้ว่า หากในอนาคตมีนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่พัฒนาเพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เทคโนโลยี AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น ด้วยสิ่งเหล่านี้เองจะทำให้ตลาด E-Commerce เติบโตและมีความเป็นไปได้ที่มากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน

บทสรุป E-Commerce กับบทบาทในโลกดิจิทัล

E-commerce หรือการทำธุรกิจออนไลน์ เป็นหนึ่งรูปแบบการขายสินค้าและบริการที่ได้รับความนิยมและมีความโดดเด่นในยุคดิจิทัล โดยสร้างความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถทำธุรกรรมได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และอินเทอร์เน็ตที่เข้าถึงได้ง่าย ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งบทความครั้งนี้เราพามาทำความรู้จักและเข้าใจความหมายกันไปในระดับหนึ่งแล้ว แต่แน่นอนว่าข้อมูลที่ทางเรานำเสนอไป เป็นเพียงข้อมูลขั้นพื้นฐาน และส่วนเล็ก ๆ ของโลก E-Commerce เท่านั้น หากเจาะลึกลงไปคงยังมีเรื่องราวและแง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับ E-commerce ที่รอให้คุณได้อ่านและเข้าใจอีกมากมาย

Search
Categories