ในอดีตที่เรามักจะค้นหาคำตอบหรือข้อมูลต่าง ๆ ผ่าน Search Engine อย่าง Google แล้วกดเลือกเข้าไปดูข้อมูลในแต่ล่ะเว็บไซต์ตามที่เราสนใจ โดยในปัจจุบันมีการพัฒนาฟีเจอร์มากมายที่พร้อมจะให้ผู้ค้นหาสามารถเข้าถึงคำตอบได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้ People Also Ask (PAA) ที่เสนอทางเลือกของการหาคำถามใกล้เคียงอื่น ๆ หรือการใช้ Featured Snippets ที่สรุปย่อเรื่องราวให้ได้ใจความในไม่กี่บรรทัดเพื่อเสนออย่างตรงจุด และในตอนนี้ยังมี Search Generative Experience (SGE) ซึ่งเป็น AI Generative ช่วยให้คุณสามารถพูดคุยเพื่อหาคำตอบเชิงลึกได้เฉพาะจงเจาะมากขึ้น ที่ช่วยให้การค้นหามีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ได้อย่างรวดเร็ว โดยพูดได้เลยว่านี่คือเรื่องน่าสนใจที่อาจเปลี่ยนประสบการณ์ของคนทั่วโลกไปอย่างสิ้นเชิงในการใช้เพื่อค้นหาข้อมูล
Search Generative Experience (SGE) คืออะไร และทำงานอย่างไร
Search Generative Experience (SGE) ได้เริ่มพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2022 และเปิดให้ใช้งานครั้งแรกในอเมริกาปี 2023 เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จากนั้นก็เริ่มทยอยขยายไปทั่วโลก โดยเรียกได้ว่า เป็นฟีเจอร์สุดเจ๋งที่ถูกพัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยี AI ของ Google เอง โดยใช้ Googlebot ประมวลผลคำค้นหาจากเรา แล้วก็สร้างเนื้อหาสรุปหรือคำถามที่เกี่ยวข้องมาตอบคำถามของเรา โดยทำการประมวลผลและวิเคราะห์คำค้นหานั้น ๆ เพื่อทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานต้องการอะไร
จากนั้น SGE จะดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลที่มีอยู่และใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการสร้างคำตอบหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหา โดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องคลิกเข้าไปดูในหน้าผลการค้นหาเหมือนที่เคยทำในอดีต ทำให้เราค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น เหมือนกับว่าเรากำลังคุยกับผู้เชี่ยวชาญ โดยที่มันยังแสดงผลลัพธ์ให้เราทันที และปรับเนื้อหาให้เข้ากับเราด้วย
นอกจากนี้ SGE ยังเป็นระบบที่สามารถเรียนรู้ได้ คือมันจะศึกษาและปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลาจากข้อมูลการใช้งานของผู้คน ทำให้มันสามารถให้คำตอบที่ดีขึ้นและเกี่ยวข้องมากขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่นักการตลาดควรให้ความสนใจและปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อรองรับการค้นหาที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
ประโยชน์ของ Search Generative Experience (SGE)
ไม่ผิดนักหากจะพูดว่า Search Generative Experience (SGE) เป็นนวัตกรรมใหม่ในด้านการค้นหาที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในด้านการเสริมสร้างประสบการณ์ผู้ใช้และการทำให้กระบวนการค้นหาเป็นไปอย่างรวดเร็วทันใจและแม่นยำยิ่งขึ้นด้วยข้อดี ดังนี้
1.การสื่อสารในรูปแบบการสนทนา
SGE ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลและสื่อสารกับระบบค้นหาได้แบบเหมือนกำลังพูดคุยกับมนุษย์ ทำให้การค้นหาข้อมูลเป็นเรื่องที่ง่ายดายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถที่จะถามคำถามได้แบบเจาะลึกเพื่อตอบโจทย์ได้ในทุกแง่มุมที่สงสัยแบบเฉพาะตัว
2.คำตอบแบบ Real-time
ผู้ใช้สามารถได้รับคำตอบแบบเรียลไทม์ทันที ทำให้สามารถประหยัดเวลาและเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน โดยการอ้างอิงจากข้อมูลของ Google ในปัจจุบัน ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่กว้างขวางและหลากหลายมากขึ้น
3.การปรับเปลี่ยนคำตอบให้เหมาะสมกับผู้ใช้
SGE สามารถเรียนรู้และปรับเปลี่ยนคำตอบให้เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและเกี่ยวข้องมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ได้คำตอบในแบบสไตล์ของตัวเอง ซึ่งสามารถตอบสนองกับการนำไปใช้ใน Niche market ได้อีกด้วย
4.ไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปดูในผลการค้นหา
ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปดูในหน้าผลการค้นหาเพื่อหาคำตอบ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนคลิกและเวลาที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลได้ โดยเน้นไปที่การหาคำตอบได้เลยทันที
5.สร้างคำถามที่เกี่ยวข้อง
SGE สามารถสร้างคำถามที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้คำตอบที่ครอบคลุมและละเอียดยิ่งขึ้น ทั้งยังมีการอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถได้รับหัวข้อเพิ่มเติมหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้อีกด้วย
ด้วยประโยชน์เหล่านี้ SGE ไม่เพียงแต่สร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการค้นหาและการเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพให้กับผู้ใช้งานได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว
เราควรปรับปรุงเว็บไซต์อย่างไรเพื่อรองรับการทำงานของ SGE ในอนาคต
อยากที่กล่าวไปเมื่อข้างต้นว่า Search Generative Experience (SGE) มีผลกระทบอย่างมากต่อวิธีการหาข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสำหรับการทำ SEO เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเราจะแบ่งออกได้เป็นส่วนที่อาจมีการกระทบโดยตรง ดังนี้
1.การสร้างเนื้อหา
การสร้างเนื้อหาคือส่วนสำคัญอันดับต้น ๆ ที่จำเป็นจะต้องปรับไปตาม SGE โดยเราอาจเห็นได้ว่ารูปแบบของการสร้าง Content ที่จะดึงดูดความสนใจและสนับสนุนฟีเจอร์นี้ได้โดยตรงคือ content แบบ
- Conversational Content: อาจได้รับความนิยมยิ่งขึ้น เนื่องจาก SGE สนับสนุนการค้นหาแบบสนทนาเป็นหลัง ทำให้ผู้อ่านสามารถเห็นคำตอบได้เลยจากคำถามที่ตั้งขึ้นคล้ายกัน
- Immediate Answers: ผู้ผลิตเนื้อหาต้องเน้นที่การให้คำตอบที่ชัดเจนและรวดเร็วในเนื้อหาเพื่อกระชากความสนใจจากผู้อ่านได้ทันที
- Long-Tail Keywords: อาจมีการเน้นคำค้นหายาว (long-tail keywords) มากขึ้นเพื่อจับจองคำถามที่ผู้ใช้อาจถาม ด้วยเหตุนี้การสร้าง Content ต้องรองรับสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน
- Content Depth: การสร้างเนื้อหาที่มีความลึกและครอบคลุมจะยิ่งสำคัญขึ้น โดยการให้ข้อมูลที่นอกเหนือจากที่ AI จะให้ได้ ก็ย่อมเป็นเรื่องสำคัญเช่นกันที่ทำให้เว็บไซต์สามารถดึงความสนใจได้มากกว่าในการนำเสนอ
- สร้างเนื้อหาที่ Personalized: SGE จะพิจารณาปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ค้นหาในการนำเสนอผลการค้นหา ดังนั้น นักการตลาดและนัก SEO ควรสร้างเนื้อหาที่ Personalized เพื่อให้เนื้อหาตรงกับความสนใจของผู้ค้นหามากที่สุด
2.การปรับเปลี่ยนเว็บไซต์และโครงสร้างข้อมูล
คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณสามารถตอบโจทย์กับการค้นหาได้อย่างดีที่สุด นอกจากเพื่อจะให้คนอ่านได้ง่ายแล้วการให้บอทสามารถ Index ข้อมูลได้ง่ายก็จะช่วยให้ข้อมูลในเว็บไซต์ของคุณถูกดึงข้อมูลไปเสนอได้ด้วยเช่นกัน ด้วยการปรับ
- Structured Data: การใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้างที่ชัดเจนจะเป็นประโยชน์มากขึ้นเพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น
- User Experience: การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์ เพื่อให้สอดคล้องกับคำค้นหา จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเห็นเว็บไซต์คุณได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่ถูกนำเสนอเพิ่มเติมจากการใช้ SGE
3.การปรับปรุงการมองเห็นใน Social Media
Social Media เป็นอีกช่องทางที่ละเลยไม่ได้ หากคุณต้องการให้เนื้อหาแพร่กระจายได้มากยิ่งขึ้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนทางเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่สำคัญไม่แพ้กันโดยคุณควรดูแลในเรื่อง
- การใช้ Open Graph: เพื่อควบคุมวิธีการแสดงผลบน Social Media เพื่อปรับปรุงการทำ SEO ไปด้วยในตัว
- โปรโมทเว็บไซต์บนช่องทาง Social Media: เพิ่มการมองเห็นผ่านช่องทาง Social Media ด้วยการเสิร์ฟ content ที่มีคุณภาพและเหมาะกับแพลตฟอร์มเพื่อให้ผู้คนสามารถรับรู้เกี่ยวกับเรามากขึ้น
4.การวิเคราะห์และการติดตาม
นับเป็นส่วนสำคัญที่จะปรับปรุงข้อมูลหลังบ้านของเราเนื่องจากในมุมหนึ่ง นักทำ SEO เองก็อยากให้เว็บไซต์เป็นหน้าร้านที่คนให้คนเข้ามาเยอะ ๆ แต่สำหรับ SGE จะทำให้ผู้ใช้งานได้คำตอบแบบทันที ดังนั้นนี่จึงเป็นการแข่งขันกันว่าเราควรมีตัววัดแบบไหนที่จะบอกเราได้ว่ามีปัจจัยใดบ้างที่พอจะทำให้เราแข่งขันและดึงผู้อ่านให้ชมเว็บไซต์ของเราอีกโดยในอนาคตอาจมี
- New Metrics: อาจมีการแนะนำ Metrices ใหม่ ๆ เพื่อวัดประสิทธิภาพของเนื้อหาในยุค SGE เฟื่องฟูเพื่อรองรับการทำ SEO ที่เข้มข้นขึ้น
- User Behavior Analysis: การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้จะต้องปรับปรุงเพื่อเข้าใจว่าผู้คนตอบสนองอย่างไรกับผลการค้นหาแบบใหม่
บอกได้เลยว่าการมาของ Search Generative Experience (SGE) มีผลกระทบที่กว้างขวางต่อวงการ SEO ทำให้นักการตลาดและนัก SEO ต้องทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์ของตน เพื่อให้สามารถแข่งขันและประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
Search Generative Experience (SGE) มีโอกาสส่งผลกระทบหรือไม่กับการทำ SEO
Search Generative Experience (SGE) มีโอกาสส่งผลกระทบต่อการทำ SEO อย่างมากเพราะ SGE ให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อหามากกว่าปริมาณ ดังนั้น เว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ค้นหา ก็จะมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาของ SGE ได้มากขึ้น โดยหากถามว่าถามว่า SGE มีโอกาสที่จะเข้ามาแทนที่การทำ SEO ได้หรือไม่นั้น? ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนเลยทีเดียว แต่ถ้าจะให้พูดกันตรง ๆ ตามความเป็นจริงแล้ว มันคงยากที่ SGE จะเข้ามาแทนที่ SEO ได้ทั้งหมด
เพราะดูเหมือนว่าเดิมทีแล้ว SGE นั้นเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้นก็จริง แต่การทำ SEO ก็ไม่ได้มีแค่การทำให้เว็บไซต์ปรากฏในตำแหน่งที่ดีบนหน้าผลการค้นหาเช่นกัน แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหา การทำให้เว็บไซต์เป็นมิตรกับผู้ใช้ และการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ด้วย
ถึงแม้ SGE อาจจะช่วยให้เนื้อหาบางส่วนของเว็บไซต์ปรากฏขึ้นมาเพื่อตอบคำถามผู้ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องพึ่งพาการทำ SEO แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า SEO จะไม่จำเป็นเลย เพราะ SEO ยังคงมีบทบาทในการช่วยให้เว็บไซต์มีความสมบูรณ์ในตัวมันเอง ซึ่งนั่นจะทำให้เว็บไซต์นั้น ๆ มีโอกาสถูกคัดเลือกและแสดงผลบนหน้าผลการค้นหาในตำแหน่งที่ดีได้มากยิ่งขึ้น
ในท้ายที่สุด ถึงแม้ว่า SGE จะเป็นเครื่องมือที่มีความสามารถและทันสมัย แต่การทำ SEO ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่สามารถละเลยได้ ทั้งสองอย่างนี้จึงควรจะทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จและให้บริการข้อมูลที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้งาน
สรุป: ประเด็นสำคัญและข้อแนะนำในการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อรองรับ SGE
การปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อรองรับ SGE ไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าของเว็บไซต์สามารถเริ่มดำเนินการได้โดยเริ่มจากการตรวจสอบโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ จากนั้นจึงใช้ภาษาและ Keyword ที่เหมาะสมในการทำ SEO ที่สำคัญผู้พัฒนาเว็บไซต์จำเป็นต้องติดตามข่าวสารและเทรนด์ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SGE ให้ดีเพื่อให้สามารถปรับตัวและปรับปรุงเว็บไซต์ได้อย่างทันท่วงที ก็จะช่วยให้เว็บไซต์สามารถรองรับ SGE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอย่างที่บอกว่าตอนนี้ Google กำลังพัฒนาฟีเจอร์นี้อย่างเงียบ ๆ ไม่แน่ว่าในอนาคตมันอาจกลายเป็นเรื่องใหม่ที่ส่งผลให้การทำ SEO มีความแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งอาจทำให้ชีวิตประจำวันของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าเหลือเชื่อ