ในโลกที่ทุกคนต่างพูดพร้อมกันอย่างไม่หยุดหย่อนเปรียบได้กับ Content หรือเนื้อหาที่ถูกผลิตออกมาในทุกวินาที การที่จะทำให้เสียงของเราดังก้องไปถึงหูของใครสักคนนั้น อาจดูเหมือนเป็นภารกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ถ้าคุณรู้จักกับ Target Audience ของคุณดีพอ ไม่ว่าจะเป็นการที่พวกเขาคือใคร, มีอายุเท่าไหร่, ชอบอะไร, ไม่ชอบอะไร, และเวลาในแต่ละวันของพวกเขาเป็นอย่างไร หลังจากนั้น ก็ดูว่าคำพูดหรือเนื้อหาใดที่ทำให้พวกเขาหยุดและให้ความสนใจกับเรานี่คือทั้งหมดที่เราจะใช้ในการวางแผนเพื่อสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ
โดยในบทความนี้ เราจะดำดิ่งลงไปในรายละเอียดของแต่ละขั้นตอนเหล่านี้ พร้อมกับตัวอย่างจริงและเคล็ดลับที่เข้าใจได้ง่าย เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจและแบรนด์ของคุณได้ทันที เพราะเมื่อคุณรู้ใจ Audience ของคุณจริง ๆ นั่นหมายความว่าคุณกำลังเปิดประตูสู่โอกาสแบบใหม่ที่จะสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้คุณได้ไม่หยุดเลยทีเดียว
Target Audience คืออะไร
ถ้าเราจะคุยกันเรื่อง ‘Target Audience’ หรือกลุ่มเป้าหมาย มันก็เหมือนกับเรากำลังพูดถึงกลุ่มคนที่เราอยากจะชวนพวกเขาไปเที่ยวด้วยในวันหยุด ซึ่งถ้าให้เลือกระหว่างคนที่ชอบการผจญภัยกับคนที่ชอบอ่านหนังสือทั้งวันบนเตียง ความคิดแว๊บแรกคุณก็จะไม่ไปชวนคนที่ชอบนอนอ่านหนังสืออยู่บ้านในวันหยุดแน่ ๆ เพราะเมื่อประเมินจากภาพรวมคร่าว ๆ แล้วคนกลุ่มนี้แทบจะไม่ใช่ ‘กลุ่มเป้าหมาย’ ของเราเลย และมีโอกาสมากที่จะโดนปฏิเสธ
ในโลกของธุรกิจหรือการตลาดก็เช่นกัน ที่เรามองว่ากลุ่มเป้าหมายคือคนที่เราคิดว่าจะตอบสนองต่อสินค้าหรือบริการของเราได้ดีที่สุด พวกเขาอาจจะมีความสนใจ ความต้องการ หรือปัญหาที่สินค้าหรือบริการของเราสามารถตอบโจทย์ได้ การรู้จักกลุ่มเป้าหมายของเรานั้นจึงสำคัญมาก การเจาะจงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เราสามารถสื่อสารได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ โดยอาจศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เช่น เพศ, อายุ, อาชีพ, รายได้, ความสนใจ, พฤติกรรมการซื้อ, หรือแม้แต่เวลาที่พวกเขาใช้ในการท่องบนโลกออนไลน์ เราก็จะสามารถรู้ว่าควรทำอย่างไร เพื่อให้สินค้าหรือบริการของเราไปอยู่ในมือของพวกเขา
นี่คือความหมายอย่างง่ายที่พอจะอธิบายได้เห็นภาพว่า ‘กลุ่มเป้าหมาย’ ของเราคือใคร ที่สำคัญกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่แค่ตัวเลขหรือสถิติที่เราเห็นในรายงาน แต่เป็นคนจริง ๆ ที่มีจิตใจและความรู้สึก ถ้าเราสามารถเข้าใจและเชื่อมต่อกับพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นผ่านโฆษณา, โพสต์บนโซเชียลมีเดีย, หรือแคมเปญต่างๆ, เราก็จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยาวนานได้เช่นกัน และนี่เองคือเหตุผลว่าเราควรหาทางพิชิตใจกลุ่มเป้าหมายของเราให้ได้
การรู้ใจ Target Audience คือกุญแจสู่ความสำเร็จทางการตลาด
การรู้ใจกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่เพียงแค่การเข้าใจว่าพวกเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่ยังรวมถึงการเข้าใจถึงวิถีชีวิต ค่านิยม และแม้กระทั่งความท้าทายที่พวกเขาเผชิญในชีวิตประจำวัน การที่เราเข้าใจเรื่องเหล่านี้จะทำให้เราสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้อย่างมีความหมาย และสร้างเนื้อหาที่ไม่เพียงแต่จะดึงดูดพวกเขา แต่ยังทำให้พวกเขารู้สึกว่าเราเข้าใจและเอาใจใส่พวกเขาจริงๆ
นอกจากนี้ การรู้ใจกลุ่มเป้าหมายยังหมายถึงการสามารถทำนายและตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขาได้ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวเองด้วยซ้ำไป การนำเสนอโซลูชั่นหรือผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาไม่รู้ว่าต้องการ แต่เมื่อเห็นแล้วรู้สึกว่า “นี่แหละที่ฉันตามหา” จะสามารถสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและสร้างความประทับใจที่ยาวนานได้
มาถึงตรงนี้คุณอาจจะสงสัยแล้วว่านักการตลาดมีเทคนิคการหา Target Audience อย่างไร ซึ่งเรามีวิธีที่เรียบง่ายแต่ใช้ได้ผลดี มาให้คุณได้เลือกนำไปใช้กันตามนี้กันเลย
รู้ใจ Target Audience ด้วย Insights ไม่ใช่เรื่องยาก
การรู้ใจกลุ่มเป้าหมายของเราด้วยข้อมูลเชิงลึกหรือ Insights นั้นไม่ใช่หนทางที่ยากเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเราเข้าใจว่าต้องมองหาอะไรและมองหาที่ไหน และแน่นอนว่าในยุคดิจิทัลนี้ เรามีเครื่องมือมากมายที่เข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ง่ายดาย โดยขั้นแรกที่เราต้องทำคือการเข้าใจว่า Insights คืออะไร ในทางการตลาด ซึ่งมันหมายถึงข้อมูลเชิงลึกที่เราได้จากการวิเคราะห์พฤติกรรม ความต้องการ ความสนใจ หรือการตอบสนองของผู้บริโภค ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถบอกเราได้ว่าพวกเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และที่สำคัญคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของพวกเขา
ด้วยวิธีนี้เราสามารถใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics ในการเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของพวกเขา หรือ Facebook Insights สำหรับการติดตามการมีส่วนร่วมและปฏิกิริยาต่อเนื้อหาที่เราโพสต์บนโซเชียลมีเดีย เรียกได้ว่าเครื่องมือเหล่านี้จะให้รายละเอียดต่าง ๆ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์จาก data จริง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะสามารถใช้เพื่อการอ่านสถานการณ์ได้
และเมื่อเรามีข้อมูลเหล่านี้แล้ว การนำมาใช้ก็ไม่ยากเลย เพราะมันจะช่วยให้เราสามารถออกแบบแคมเปญที่ตรงจุด สร้างสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ และพัฒนาเนื้อหาที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายของเราตื่นเต้น ท้ายที่สุด การรู้ใจกลุ่มเป้าหมายด้วย Insights จะทำให้เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับพวกเขาได้อย่างยาวนานและมีความเป็นธรรมชาติกับวิถีชีวิตของกลุ่มเป้าหมาย
การทำความเข้าใจผ่าน User Experience (UX) Research
การทำความเข้าใจผ่าน User Experience (UX) คือการเรียนรู้และเข้าใจประสบการณ์ของผู้ใช้งานจริงกับสินค้าหรือบริการของเรา เสมือนการนั่งลงคุยกับลูกค้าและถามพวกเขาว่า “คุณรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เราทำให้คุณใช้บ้าง?” และ “มีอะไรที่เราทำได้ดีขึ้นมั้ย?” เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเราจะออกแบบสินค้าหรือบริการมาดีแค่ไหน ถ้าผู้ใช้ไม่พอใจหรือมีปัญหากับมัน ก็เหมือนเราทำงานมาไม่ถูกทาง ด้วยเหตุนี้เราอาจจะต้องกำหนดกรอบจุดประสงค์ทางการตลาดด้วยว่าเราทำการวิจัยเรื่องนี้แบบไหน
โดยคุณสามารถเริ่มต้นได้จากหลายวิธี เช่นการสังเกตจากการใช้งานจริง การทดสอบการใช้งานผลิตภัณฑ์ (Usability Testing) หรือการสร้างแบบจำลองการใช้งาน (Prototyping) และดูว่าผู้ใช้มีปฏิกิริยาอย่างไร เราอาจใช้แบบสอบถามเพื่อถามคำถามตรงๆ หรือเชิญผู้ใช้มานั่งคุยกลุ่ม (Focus Group) เพื่อรับฟังความคิดเห็นหลาย ๆ ด้าน
สิ่งสำคัญในการวิจัย UX คือต้องเปิดใจรับฟัง แม้ว่าบางครั้งเราอาจได้ยินสิ่งที่ไม่อยากได้ยินก็ตาม การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดหรือจุดอ่อนของเราจะช่วยให้เราปรับปรุงและสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ดีขึ้นได้ จนสุดท้ายแล้ว ผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด นี่คือโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และเป็นโอกาสในการทำความเข้าใจกับผู้ใช้ของเรามากขึ้น
สร้าง Customer Personas จำลองลูกค้า
การสร้าง Customer Personas หรือบุคลิกภาพลูกค้าจำลอง เป็นเทคนิคหนึ่งที่นักการตลาดและทีมออกแบบผลิตภัณฑ์นิยมใช้เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง บุคลิกภาพเหล่านี้ถูกจะสร้างขึ้นมาจากข้อมูลที่มีอยู่ ทั้งจากการวิจัยตลาด ข้อมูลจากลูกค้าปัจจุบัน และการวิเคราะห์ต่าง ๆ ที่ได้สะสมมา มันคือการใช้ข้อมูลที่เรามี เพื่อนำไปประเมินให้ข้อมูลเหล่านั้นไม่ใช่แค่ตัวเลขหรือคำตอบจากแบบสอบถาม แต่เป็นตัวแทนของลูกค้าจริง ๆ ที่มีชีวิต
ในการสร้าง Personas ที่มีประสิทธิภาพ เราต้องคำนึงถึงหลาย ๆ ด้านของลูกค้า เช่น ประวัติส่วนตัว วัย อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้ นิสัยในการซื้อขาย สิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ ความต้องการและความท้าทายที่พวกเขาเผชิญ รวมไปถึงสิ่งที่กระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ หลังจากนั้น เราก็นำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างเป็นตัวละครที่มีความสมจริง
ซึ่งเราสามารถใส่รายละเอียดเพิ่มเติมเข้าไป เช่น งานอดิเรก ประเภทของโซเชียลมีเดียที่ชอบใช้ หรือแม้กระทั่งประเภทของเนื้อหาที่พวกเขาชอบอ่านหรือดูบนอินเทอร์เน็ตโดย Customer Personas ช่วยให้เราสามารถทำการตลาดหรือออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าจริง ๆ ทำให้เราสามารถสร้างแคมเปญที่สร้างการมีส่วนร่วมสูง พร้อมนำข้อมูลไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้เฉพาะเจาะจง
ใช้ Behavioral Marketing ด้วยกลยุทธ์การตลาดเชิงพฤติกรรม
การใช้ Behavioral Marketing หรือกลยุทธ์การตลาดเชิง(กระตุ้น)พฤติกรรมนั้น ก็เหมือนกับการเป็นนักสืบที่ต้องเข้าใจและคาดเดาพฤติกรรมของคน เพื่อที่จะนำเสนอสิ่งที่พวกเขาต้องการหรือตอบสนองความต้องการนั้นได้อย่างแม่นยำ กล่าวคือ เราไม่ได้แค่ดูว่าลูกค้าซื้ออะไร แต่เรายังต้องดูว่าทำไมพวกเขาถึงซื้อมันด้วย
โดยกระบวนการนี้อาจมีความซับซ้อนแต่ไม่ยุ่งยาก เพราะหากอธิบายรูปแบบง่าย ๆ ก็คือ เปรียบเสมือนกับเราได้จับตาดูพฤติกรรมของลูกค้า เช่น สิ่งที่ลูกค้าค้นหาบนอินเทอร์เน็ต รายการที่พวกเขาเพิ่มเข้าไปในตะกร้าสินค้าแต่ไม่ซื้อ หรือสินค้าที่พวกเขาให้คะแนนและรีวิว ซึ่งเครื่องมือออนไลน์หลายตัวสามารถช่วยเราในการเก็บข้อมูลเหล่านี้ได้ และเมื่อเรามีข้อมูลแล้ว เราก็นำมาวิเคราะห์เพื่อดูแนวโน้มและรูปแบบต่าง ๆ
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเห็นว่าลูกค้าค้นหา “วิธีลดน้ำหนัก” ก็อาจจะแสดงว่าพวกเขาสนใจในสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพหรือการออกกำลังกาย เราจะสามารถนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความสนใจนี้ได้ หรืออาจจะสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงดูดพวกเขาให้เข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา เป็นการเสนอเพื่อกระตุ้นสิ่งลูกค้าสนใจอยู่แล้ว อีกทั้งเรายังสามารถใช้ข้อมูลพฤติกรรมเหล่านี้เพื่อสร้างโปรโมชั่นที่เฉพาะเจาะจง เช่น ถ้าลูกค้ามักจะซื้อสินค้าประเภทเดียวกันเป็นประจำทุกเดือน เราอาจจะนำเสนอส่วนลดหรือข้อเสนอพิเศษเพื่อให้พวกเขาซื้อในปริมาณที่มากขึ้น
กล่าวได้ว่าการตลาดเชิงพฤติกรรมไม่ใช่เรื่องของการขายเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจกับลูกค้า โดยการที่เราให้สิ่งที่พวกเขาต้องการและตอบสนองความต้องการนั้นอย่างถูกเวลาและถูกสถานการณ์ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราเข้าใจพวกเขาและการซื้อขายกลายเป็นประสบการณ์ที่ดีที่พวกเขาต้องการกลับมาซื้อซ้ำได้และยังเป็นการระบุชัด ๆ จากข้อมูลด้วยว่าใครคือ Target Audience ตัวจริงของเรา
วัดผลด้วย A/B Testing
การวัดผลด้วย A/B Testing หรือการทดสอบแบบแยกส่วนนั้น ก็เหมือนกับการทำอาหารสองจานที่มีสูตรคล้ายๆ กันแล้วลองชิมดูว่าจานไหนอร่อยกว่ากัน ในโลกของการตลาดดิจิทัล วิธีนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเห็นว่ากลยุทธ์หรือเนื้อหาใดให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า โดยการทดลองเสนอสองเวอร์ชันที่มีความแตกต่างเล็กน้อยกับกลุ่มเป้าหมาย แล้วดูว่าเวอร์ชันไหนได้ผลตอบรับที่ดีกว่า และมีส่วนที่ทำให้เราสามารถเห็นถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงได้ด้วย
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยากทราบว่าหัวข้ออีเมลประเภทไหนทำให้ลูกค้าเปิดอ่านมากกว่ากัน เราอาจจะส่งอีเมลที่มีหัวข้อแบบ A ไปยังกลุ่มหนึ่ง และหัวข้อแบบ B ไปยังกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง หลังจากนั้นเราก็วัดผลว่าหัวข้อไหนทำให้เราได้อัตราการเปิดอ่านสูงกว่า
การทำ A/B Testing ช่วยให้เราไม่ต้องเดา แต่เราใช้ข้อมูลจริงจากการทดสอบเพื่อตัดสินใจได้เลย เพราะในท้ายที่สุด แม้แต่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สีของปุ่มกด หรือคำที่ใช้ในการเรียกให้กระทำหรือที่เรียกว่า Call-to-Action ก็สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าได้ทำให้การคัดกรองผู้ที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้าของเรา มีความชัดเจนขึ้นอย่างมากทีเดียว
การวิเคราะห์จากคู่แข่งในตลาด
การวิเคราะห์คู่แข่งไม่ใช่เพื่อการสู้รบเพื่อแย่งลูกค้าเสมอไป แต่เป็นไปเพื่อการเรียนรู้ว่าคู่แข่งทำอะไรได้ดี และพวกเขามีจุดอ่อนตรงไหน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถกำหนดกลยุทธ์ของเราเองให้แข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่การตามหากลุ่มเป้าหมายของเราอาจเป็นไปได้ยาก การมองคู่แข่งว่าเขาทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ทำการตลาดผ่านช่องทางไหน และพวกเขาสื่อสารกับลูกค้าอย่างไร จะช่วยให้เรามองภาพลูกค้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้การวิเคราะห์คู่แข่งยังรวมไปถึงการดูว่าพวกเขามีกลยุทธ์ในการตั้งราคาอย่างไร โปรโมชั่นของพวกเขามีอะไรบ้าง และพวกเขาใช้เทคนิคการตลาดประเภทไหนที่เราอาจยังไม่ได้ใช้ หรือใช้แล้วไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่จะนำมาซึ่งโอกาสในการปรับปรุงหรือแม้แต่นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะทำให้เราเอาชนะใจลูกค้าได้ แต่จำไว้ว่าการวิเคราะห์คู่แข่งไม่ได้แปลว่าเราต้องลอกเลียนแบบพวกเขา แต่เป็นการเรียนรู้จากพวกเขาเพื่อที่เราจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่า ทันสมัยกว่า และเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของเราเอง ซึ่งนี่จะอาจเป็นการเปิดมุมมองใหม่ของเราที่ช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
สำรวจ ‘ว่าที่’ กลุ่มเป้าหมายด้วยการสัมภาษณ์
การสำรวจ ‘ว่าที่’ กลุ่มเป้าหมายด้วยการสัมภาษณ์นั้นเป็นวิธีที่จะได้ข้อมูลเชิงลึกจากลูกค้าที่เราคาดหวัง แต่ต้องไม่ลืมว่านี่จะไม่ใช่เพียงแค่การถามคำถามพื้น ๆ แต่ต้องเป็นการเจาะลึกเข้าไปในความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ของพวกเขา ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าพวกเขาต้องการอะไรจากผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรา
เริ่มแรกเราต้องค้นหาผู้คนที่ตรงกับลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ จากนั้นควรถามคำถามสัมภาษณ์ที่มีจุดประสงค์อย่างชัดเจน คำถามที่เราถามควรเป็นคำถามเปิด เพื่อให้ผู้ตอบมีพื้นที่ในการเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ของตัวเองได้อย่างอิสระ คำถามที่ดีอาจจะรวมไปถึงประสบการณ์ที่พวกเขามีกับผลิตภัณฑ์หรือบริการในอดีต ปัญหาที่พวกเขาเจอ และสิ่งที่พวกเขาหวังจะได้รับจากผลิตภัณฑ์หรือบริการในอนาคต
โดยจุดนี้จะทำให้เรารู้ว่ากลุ่มลูกค้าของเรามีความคิดแบบไหนและที่สำคัญเราอาจได้รู้ด้วยว่า คนที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าของเราอยู่ที่ไหนอีกบ้าง นอกจากนี้ยังช่วยให้เราเห็นช่องว่างในตลาดที่คู่แข่งอาจมองข้ามไป และเป็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ แต่ก็นับเป็นวิธีที่ค่อนข้างใช้เวลาและการลงทุนสูงที่อาจจะคุ้มค่าหรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าคุณสัมภาษณ์ได้ถูกคนหรือเปล่านั่นเอง
การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับ Target Audience สำคัญแค่ไหน?
การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับ Target Audience มีความสำคัญยิ่งในโลกการตลาดยุคดิจิทัล เพราะจะว่าไปแล้ว มันเหมือนกับการเลือกสนามเพื่อจัดการแสดงคอนเสิร์ต เราต้องเลือกสถานที่ที่เหมาะสมกับผู้ชมเพื่อให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด และเพื่อให้เราสามารถสื่อสารข้อความของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้ากลุ่มเป้าหมายของเราคือเยาวชนที่ชื่นชอบเทคโนโลยี การใช้แพลตฟอร์มอย่าง TikTok หรือ Instagram อาจจะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะมันตรงกับสไตล์และพฤติกรรมของพวกเขา แต่ถ้าเราต้องการเข้าถึงผู้บริโภคที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งอาจใช้เวลาในการค้นคว้าและอ่านเนื้อหาที่ลึกซึ้งมากขึ้น แพลตฟอร์มอย่าง LinkedIn หรือเว็บไซต์ที่มีบทความเชิงวิชาการอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
ด้วยเหตุนี้การเลือกแพลตฟอร์มที่ไม่เหมาะสมสามารถทำให้แคมเปญการตลาดของเราสูญเปล่าได้ เพราะไม่ว่าเราจะมีกลยุทธ์ที่ดีเพียงใด ถ้าไม่ได้ส่งถึงคนที่เหมาะสม ก็เหมือนกับเรากำลังพูดคนเดียวในห้องที่ไม่มีใครอยู่ ที่สำคัญการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ยังช่วยให้เราปรับเปลี่ยนและพัฒนากลยุทธ์ได้ตามเวลาจริง ช่วยให้เราเข้าใจว่าอะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล และเราควรปรับเปลี่ยนอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของ Audience ของเรา
ดังนั้น การเลือกแพลตฟอร์มในการสื่อสารไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม และเมื่อเราเลือกได้ถูกต้อง มันก็เหมือนกับว่าเราได้เลือกสนามที่ลูกค้าของเราอยากจะมาเยือน และพวกเขาก็จะยินดีที่จะฟังสิ่งที่เรามีจะบอกหรือในทางกลับกันหากเราเข้าไปอยู่ในสนามที่มีว่าที่ลูกค้าของเราอยู่เยอะ ก็ยิ่งทำให้เราได้เปรียบในการคว้าคนเหล่านั้นมาเป็นลูกค้าของเรา
การสร้างการมีส่วนร่วมและการสร้างความภักดี คือสิ่งที่ขาดไม่ได้
ในโลกธุรกิจที่ความสัมพันธ์กับลูกค้ามีความหมายเหนือกว่าการซื้อมา-ขายไป การสร้างการมีส่วนร่วมและความภักดีจากลูกค้าจึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง โดยการที่ลูกค้ามีส่วนร่วมไม่ใช่แค่เรื่องของการคลิก ‘ถูกใจ’ หรือ ‘แชร์’ เท่านั้น แต่หมายถึงการที่พวกเขาเลือกที่จะใช้เวลา ความคิดเห็น และมีปฏิกิริยาต่อแบรนด์ของเรา (ถ้าในเชิงบวกด้วยจะดีมาก) ซึ่งการมีส่วนร่วมที่ดีคือการที่ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ของเราไม่ได้มีแค่การขายสินค้า แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ส่งเสริมความสุข และตอบโจทย์ปัญหาหรือความต้องการของพวกเขา นี่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าแค่การทำธุรกรรม
แน่นอนว่าความภักดีที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ เป็นสิ่งที่สร้างยากและต้องดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเราสร้างได้แล้ว มันก็เหมือนกับคำพูดที่ว่า “ลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้าเพราะพวกเขาต้องการสิ่งนั้น แต่เพราะพวกเขาเชื่อใจคุณ” ความภักดีนี้จะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า และแนะนำเราให้กับคนอื่น ๆ
การสร้างการมีส่วนร่วมและความภักดีสามารถทำได้หลายวิธี เช่นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ การสื่อสารและให้บริการลูกค้าอย่างดีเยี่ยม การรับฟังและปรับปรุงจากข้อเสนอแนะ และการสร้างโปรแกรมสะสมคะแนนหรือสิทธิพิเศษที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าการซื้อขายกับเรานั้นคุ้มค่า เทคนิคเหล่านี้อาจต้องใช้การคำนวณด้านการตลาดเพื่อสร้างกิจกรรมที่เอาชนะใจลูกค้าได้อย่างตรงจุด ซึ่งก็ต้องบอกก่อนว่านี่ด่านสุดท้ายในกระบวนการการทำการตลาด แต่มันเปรียบเสมือนการย้ำในระหว่างทางให้กับ Target Audience ได้รู้ว่าเหตุผลอะไรที่พวกเขาไม่ควรไปจากคุณ
สรุป: ความสำคัญของการรู้ใจ Target Audience เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
การรู้ใจ Target Audience เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า มันเปรียบเสมือนการสร้างมิตรภาพที่ดี ที่เราต้องใส่ใจและเข้าใจเพื่อนของเราให้มากที่สุด เพื่อให้มิตรภาพนั้นคงอยู่ได้นาน ซึ่งในโลกของธุรกิจ การรู้ใจลูกค้า คือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการ ความปรารถนา ความสนใจ และปัญหาที่พวกเขาพบเจอในชีวิตประจำวัน
การที่เราเข้าใจเรื่องเหล่านี้ จะช่วยให้เราสามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างเนื้อหาหรือผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นได้ตรงใจมากขึ้น ยังช่วยให้เราสามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาสินค้าหรือบริการของเราให้ดีขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ความชอบส่วนบุคคล หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ในสังคม ทั้งหมดนี้คือการสร้างความเชื่อมั่นว่าแบรนด์ของเราพร้อมที่จะเดินทางไปกับพวกเขาในทุกขั้นตอนของชีวิต
ซึ่งทั้งหมดที่เราได้กล่าวไป คือวิธีที่จะช่วยให้คุณได้รู้ว่าคุณจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้จากไหน และลูกค้าของคุณอยู่ที่ไหนบ้าง เพื่อให้คุณสามารถสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสมได้ ดังนั้นการรู้ใจ Audience จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนในโลกการตลาดที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคง