มารู้จักกับ 8 เทคนิคเพิ่มยอดขาย เคล็ดไม่ลับสุดท้าทายที่ทำให้มีรายได้มากขึ้น

คุณเคยเหนื่อยไหมกับการขายของแบบเดิม ๆ ที่เพิ่มเติมถูกลูกค้าเมินและไม่สนใจ ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยใจกับอะไรแบบนี้ บทความในครั้งนี้เรามีวิธีดี ๆ ในการเพิ่มยอดขาย ที่ทำให้คุณมีรายได้มากขึ้น ด้วยวิธีการง่าย ๆ ที่สามารถลองทำแล้วได้ผลจริงแบบไม่น่าเชื่อ ซึ่งไม่ได้โม้นะ ถ้าคุณอยากรู้ว่ามีวิธีอะไรบ้าง มาลองอ่าน 8 เทคนิคการเพิ่มยอดขายแบบเห็นผลกัน

1. เพิ่มยอดขาย ด้วย Decoy Effect กลยุทธ์ด้านราคาเล็ก ๆ ที่ทำให้รายได้คุณยิ่งใหญ่มาก

ตามหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานที่หลายคนเคยเรียนมาสมัยมัธยม จะพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปสงค์ของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก คือ ปัจจัยเรื่องราคา ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการขายสินค้าและบริการ สำหรับการทำการตลาดก็เช่นกัน กลยุทธ์ด้านการตั้งราคา ก็เป็นสิ่งที่นักการตลาดจะพลาดไม่ได้ เพราะราคานี่แหละ คือด่านแรกที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ

แต่การตั้งราคาทุกวันนี้มันจำเป็นต้องใช้เทคนิค Decoy Effect เข้ามาช่วย การตั้งราคาสินค้าจะไม่ได้แข่งกันขายราคาถูกเพื่อที่จะขายได้ปริมาณมาก หรือ ตั้งราคาโดยลงท้ายด้วยเลข 9 แบบในสมัยอดีตแล้ว เนื่องจากผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้ามากขึ้น เพียงแค่พิมพ์สินค้าที่ต้องการบนช่องการค้นหาใน Google ระบบมันก็ขึ้นสินค้าชนิดเดียวกันแต่มากหน้าหลายแบรนด์ปรากฏขึ้นมาอีกเพียบ ทำให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบสินค้าได้มากขึ้น และผู้บริโภคในปัจจุบันก็ไม่ได้สนใจสินค้าราคาถูกเหมือนเช่นในอดีต เพราะพวกเขามองว่าสินค้าราคาถูกเนื่องจากต้นทุนราคาต่ำ ไม่ได้คุณภาพ

ฉะนั้นกลยุทธ์การตั้งราคาแบบ Decoy Effect จะเข้ามาเป็นตัวล่อ ให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้น และพวกยังรู้สึกว่าคุ้มค่าที่ได้มันมา เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจจะรู้สึกสงสัยและประหลาดใจ ว่ามันจะเป็นไปได้เหรอกลยุทธ์นี้ ซึ่งเราอยากขอบอกคุณว่ามันเป็นไปได้ โดยที่เราจะอธิบายตัวอย่างง่าย ๆ ให้คุณอ่านเกี่ยวกับกลยุทธ์นี้มากขึ้น

สมมุติว่าคุณมีธุรกิจฟิตเนสและคุณต้องการจะใช้กลยุทธ์ Decoy Effect ในการตั้งราคา โดยราคาที่คุณควรตั้งเพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคหันมาใช้บริการฟิตเนสคุณมีดังนี้

• ราคาแบบที่ 1 สมัครใช้บริการฟิตเนสหนึ่งเดือน เสียค่าบริการ 5,000 บาท
• ราคาแบบที่ 2 สมัครใช้บริการฟิตเนสสองเดือน เสียค่าบริการ 8,000 บาท
• ราคาแบบที่ 3 สมัครใช้บริการฟิตเนสสามเดือน เสียค่าบริการ 9,500 บาท

ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ ราคาแบบที่ 1 จะต่างกับราคาแบบที่ 2 อยู่ที่ 3,0000 บาท ส่วนราคาแบบที่ 2 จะต่างกับราคาแบบที่ 3 อยู่ที่ 1,500 บาท ส่วนต่างของราคาตรงนี้แหละที่ทำให้คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะไปเลือกราคาแบบที่ 3 ค่อนข้างสูง เนื่องจากเขามองว่า ราคาแบบที่ 3 ต่างกับ ราคาแบบที่ 2 เพียงแค่ 1,500 บาท แต่สามารถเล่นฟิตเนสเพิ่มได้อีกหนึ่งเดือน มันรู้สึกคุ้มค่ากับการจ่ายเงินในราคาที่แพงกว่า สิ่งนี้แหละคือ จิตวิทยาของ Decoy Effect คือจะมีราคากลาง นั้นคือ ราคาแบบที่ 2 สมัครใช้บริการฟิตเนสสองเดือน ที่เสียค่าใช้จ่าย 8,000 บาท มาเป็นตัวกระตุ้น หรือ ตัวเชียร์เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกราคาแบบที่ 3 ได้ไวยิ่งขึ้น และยังเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจคุณบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ

2. เพิ่มยอดขาย ด้วยการขายสินค้าพ่วงกับบริการ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกชอบในธุรกิจของคุณมากขึ้น

ปัจจุบันการขายสินค้า หรือ ขายเฉพาะการให้บริการ อย่างเดียวคงไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะยุคสมัยใหม่ใคร ๆ ต่างก็อยากได้ทั้งสินค้าและบริการมารวมอยู่ในรูปแบบเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขายสินค้าออนไลน์ คุณก็อาจมีบริการจัดส่งฟรี เพื่อให้บริโภครู้สึกเหมือนได้รับน้ำใจและการเอาใจใส่จากคุณ หรือถ้าคุณขายอาหารสำหรับการบริโภค อาจจะมีบริการน้ำดื่มฟรี หรือ ให้บริการเติมเครื่องเคียงได้ไม่อั้น

แต่ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่เกี่ยวกับการให้บริการ เช่น ให้บริการเกี่ยวกับการศึกษาต่อ, ให้บริการเกี่ยวกับการสอนภาษา, ให้บริการเกี่ยวกับที่พักแรม ซึ่งสินค้าที่คุณควรมีให้กับลูกค้า ควรเป็นสินค้าที่ระลึกเล็กน้อยเกี่ยวกับแบรนด์ หรือ องค์กร เช่น สมุด, เสื้อ, ปากกา และพวงกุญแจ เป็นต้น ซึ่งการขายสินค้าพ่วงกับบริการนี่แหละ จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกโปรดปราน ประทับใจในธุรกิจของคุณ จนอยากกลับมาซื้อสินค้าและใช้บริการอีก อีกทั้งธุรกิจของคุณก็ถูกกระตุ้นยอดขายที่เพิ่มขึ้นโดยกลุ่มฐานลูกค้าเดิมอีกด้วย

3. เพิ่มยอดขาย ด้วยระบบสมาชิก สะสมคะแนน แทนใจความผูกพัน

การเพิ่มยอดขายด้วยระบบสมาชิก เป็นวิธีการดึงดูดผู้บริโภคยอดนิยม เพราะผู้บริโภคมองว่าการเข้ามาเป็นสมาชิกของสินค้าหรือบริการอย่างต่อเนื่องจะทำให้ได้สิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ากว่าการไม่ได้มาเป็นสมาชิก ตัวอย่างเช่น บัตรสะสมคะแนนชานมไข่มุกที่ดื่มครบ 10 แก้วรับเพิ่มไปเลย ฟรี 1 แก้ว, การเป็นสมาชิก All Member ของ 7-11, บัตร One Card สำหรับซื้อสินค้าในเครือ Central Group เป็นต้น
ซึ่งข้อดีของระบบสมาชิกคือ จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคอยากจะมาซื้อสินค้าหรือบริการของคุณอีกครั้ง เพราะพวกเขามองว่า ตนเองมีอำนาจในการซื้อสินค้าและบริการที่คุ้มค่ามากกว่าที่อื่น

4. เพิ่มยอดขายด้วยโปรโมชั่น ที่จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกสนุกในการช้อป

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย การทำโปรโมชั่นยังกลายเป็นสิ่งที่ได้ใจใครหลาย ๆ คนอยู่ไม่น้อย เพราะผู้บริโภคมองว่าถ้าไม่ซื้อสินค้าช่วงโปรโมชั่น ก็ไม่รู้จะไปซื้อสินค้าช่วงเวลาไหน สิ่งนี้แหละที่เป็นปัจจัยในการกระตุ้นให้ผู้บริโภคอยากรีบซื้อสินค้าในช่วงเวลาสั้น ๆ ของช่วงโปรโมชั่นเท่านั้น สินค้าของคุณก็เช่นกันถ้ามีการกระตุ้นด้วยโปรโมชั่น เช่น โปรโมชั่นลดราคา 50 % เฉพาะวันนี้วันเดียว, โปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง, โปรโมชั่นแลกซื้อสินค้าหนึ่งชนิดในราคาพิเศษ เป็นต้น

ถ้าคุณสนใจอยากเพิ่มยอดขายด้วยโปรโมชั่นเราขอแนะนำให้คุณทำโปรโมชั่นล้อไปตามเทศกาล หรือ ตามเทรนด์กระแสสังคม เช่น เทศกาล 11.11 ของ Lazada, เทศกาล 6.6 ของ Shopee, เทรนด์ฟุตบอลโลก, เทรนด์การแข่งขันกีฬา, เทรนด์ดนตรี เป็นต้น ซึ่งการทำโปรโมชั่นเกาะไปกับกระแสนอกจากจะเป็นการเพิ่มยอดขายให้สินค้าของคุณแล้ว ยังทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

5. เพิ่มยอดขายด้วยการ Upselling – Cross-selling เชียร์อัพให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าในความรู้สึกที่คุ้มค่ามากกว่าเดิม

Upselling และ Cross-selling คือ การเพิ่มยอดขายให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าและบริการของคุณมากขึ้น โดยการแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ขาย ซึ่งเราสามารถจำแนกความแตกต่างระหว่าง 2 อย่างได้ดังต่อไปนี้

• Upselling คือ การที่ผู้ขายพูดจาในรูปแบบเชิญชวน เชียร์ให้ผู้บริโภครู้สึกสนใจในสินค้าของคุณเพิ่มเติมมากขึ้น เช่น การแนะนำโปรโมชั่น, การนำเสนอสินค้าออกใหม่ให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้, การแนะนำสินค้าในเครือเดียวกันเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้รับรู้ เป็นต้น

• Cross selling คือ การที่ผู้ขายพูดจาขายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหลัก เช่น การเสนอขายเมาส์, แผ่นรองเมาส์, หูฟัง ให้กับผู้บริโภคที่มาซื้อคอมพิวเตอร์ หรือ โน้ตบุ๊ค เป็นต้น

โดยกลยุทธ์ Upselling – Cross-selling จะใช้ได้ผลดีมาก ถ้าผู้ขายรู้จักศิลปะในการขาย คือ พยายามเสนอขายสินค้า และ บริการโดยไม่มีการยัดเยียดความต้องขายให้กับผู้บริโภคมากเกินไป เพราะจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกอึดอัด รวมถึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจที่จะกลับมาซื้อสินค้าและบริการอีก

6. เพิ่มยอดขายด้วยการนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดึงดูดใจ เชิญชวนให้ผู้บริโภคหลงใหลในการซื้อ

ภาพลักษณ์ล้วนเป็นปัจจัยที่สำคัญในการกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ ถ้ามีคนบอกคุณว่าภาพลักษณ์ของสินค้าไม่สำคัญเท่าคุณภาพ เราอยากบอกว่าพวกเขาคิดผิด เพราะผู้บริโภคเขาจะไม่มีทางรู้เด็ดขาดว่าสินค้าคุณจะมีคุณภาพหรือไม่ ถ้าพวกเขายังไม่เคยได้ลองใช้ คุณจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และคุณภาพของสินค้าสองอย่างนี้ควบคู่กันไป

ฉะนั้นคุณจำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าเพื่อให้ดึงดูดผู้บริโภค ให้หันมาสนใจสินค้าของคุณ ถ้าภาพลักษณ์ไม่สำคัญไม่อย่างงั้นสินค้าแบรนด์ใหญ่เขาจะลงทุนจ้างดารามาเป็นพรีเซนเตอร์เพื่อโปรโมทสินค้าทำไม ถ้าธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจขนาดเล็ก คุณควรนำเสนอภาพลักษณ์ที่ตอบโจทย์ใจกลุ่มเป้าหมายหลัก เช่น ถ้าคุณขายสินค้าเกี่ยวกับครีมบำรุงผิว โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไป คุณควรนำเสนอภาพลักษณ์ของสินค้าโดยการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความน่ารัก รู้สึกสนุก และตัวอักษรบนผลิตภัณฑ์สามารถอ่านง่าย เข้าใจง่าย รวมถึงอาจจะจ้าง Influencer ใน Tiktok หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่มีอายุใกล้เคียงกับกลุ่มเป้าหมายในการประชาสัมพันธ์สินค้า เพื่อเป็นการเพิ่มยอดขายให้คุณอีกด้วย

7. เพิ่มยอดขายด้วยการอำนวยความสะดวกด้านการจับจ่าย ให้จับใจผู้บริโภค

ธุรกิจทุกวันนี้ต่างมีสินค้าออกมาใหม่เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมากมาย ซึ่งใคร ๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของกิจการได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุนเยอะ เพียงแค่คุณรู้จากการระดมเงิน และ การหมุนเงินในการทำธุรกิจ ก็สามารถเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็กได้ และด้วยความที่สินค้าทุกวันนี้มันมีมากมายเหลือเกิน ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเพลิดเพลินไปกับการช้อป แบบ Non-stop พอมารู้ตัวอีกทีเงินในกระเป๋าก็ไม่เพียงพอในการซื้อสินค้าของคุณแล้ว คุณที่เป็นเจ้าของธุรกิจอย่าได้ปฏิเสธลูกค้ากลุ่มนี้เลย เพราะพวกเขามีความตั้งใจอยากซื้อสินค้าของคุณแหละ แต่เงินมันไม่พอ

ซึ่งคุณควรจะอำนวยความสะดวกในการจับจ่ายสินค้าและบริการ เช่น ผูกบริการ Buy Now Pay Later ใช้ก่อนผ่อนทีหลังของ True Money Wallet, ผูกบริการ SPayLater ใช้ก่อนผ่อนทีหลังของ Shopee, บริการรับโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์, บริการรับชำระบัตรเครดิตโดยไม่มียอดชำระขั้นต่ำ และ ชำระเงินผ่าน Paypal เป็นต้น ถ้าคุณสามารถอำนวยความสะดวกในการจับจ่ายให้กับผู้บริโภคได้ ก็เป็นเรื่องง่ายที่ยอดขายของคุณจะเพิ่มมากขึ้น

8. เพิ่มยอดขายด้วย Social Media เพื่อให้สินค้าคุณเป็นที่รู้จักของชาวโซเชียลมากยิ่งขึ้น

ทุกวันนี้สินค้าและบริการส่วนใหญ่ต่างโปรโมทในโซเชียลมีเดียเกือบ 90 % ไม่เว้นแม้แต่ร้านขายกล้วยแขกริมทาง ขนาดแม่ค้ายังไม่ปล่อยให้พื้นที่ออนไลน์ของตนว่างเลยแม้แต่น้อย ธุรกิจของคุณก็เช่นกัน คุณควรใช้พื้นที่โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ในการโปรโมทธุรกิจ ซึ่งการโปรโมทธุรกิจผ่านโซเชียลมีเดียให้ปัง คุณควรวางแผนการโปรโมทเพื่อเพิ่มยอดขายในพื้นที่ออนไลน์ ดังนี้

1. โปรโมทธุรกิจผ่าน Tiktok แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่กำลังมาแรง แซงหน้าทุกแพลตฟอร์มในปัจจุบัน โดยคุณสามารถศึกษาเกี่ยวกับการโปรโมทธุรกิจผ่าน Tiktok

2. การยิงแอดโฆษณาในโซเชียลมีเดีย เพื่อให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จักของคนมากยิ่งขึ้น

3. ทำการตลาดผ่านระบบ Omni Channel Marketing เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารและให้บริการลูกค้าแบบผสมผสานระหว่าง ออฟไลน์ และ ออนไลน์อย่างโซเชียลมีเดีย

4. เล่นกับเทรนด์ในโซเชียลมีเดียด้วยการ ติดแฮชแท็กใต้คำบรรยายของสินค้าและบริการ หรือ ใส่คำโปรโมทสุดแมสลงไปในรูปภาพหรือวิดีโอของสินค้าและบริการ

5. ขยันอัพเดตสินค้าและบริการในโซเชียลมีเดียอยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าสินค้าและบริการของคุณยังมีการเคลื่อนไหวอยู่

6. ทำการตลาดแบบ User-Generated Content หรือคือการนำรีวิวจากผู้บริโภคที่เคยใช้บริการสินค้าและบริการของคุณ มานำเสนอผ่านพื้นที่โซเชียลมีเดียของธุรกิจคุณ ซึ่งคุณสามารถศึกษาการทำการตลาดแบบ User-Generated Content เพิ่มเติม ได้จากบทความ UGC

สรุป มารู้จักกับ 8 เทคนิคเพิ่มยอดขาย เคล็ดไม่ลับสุดท้าทายที่ทำให้คุณมีรายได้มากขึ้น

ก็จบกันไปแล้ว สำหรับ 8 เทคนิคการเพิ่มยอดขาย ที่เราอุตส่าห์คัดเนื้อหาที่สำคัญ และ ทันโลกทันกระแสมาเน้น ๆ เพื่อให้คุณทำยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายมากขึ้น ก่อนบทความนี้จะจบเราขออนุญาตมาสรุป 8 เทคนิคเพิ่มยอดขายมาให้คุณทำความเข้าใจแบบง่าย ๆ ว่าเทคนิคเหล่านี้ช่วยเพิ่มยอดขายที่ให้ธุรกิจคุณบรรลุเป้าหมายมากยิ่งขึ้น และมันก็เป็นความท้าทายสำหรับเจ้าของธุรกิจอย่างคุณอยู่ไม่น้อย ที่จะนำเอาเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ในการเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าหรือบริการของคุณ และเราหวังว่าอายุน้อยร้อยล้านคนต่อไปอาจเป็นคุณ