ใครที่เคยทำการตลาดออนไลน์ โฆษณา หรือต้องเขียนเนื้อหาบทความประกอบการทำ SEO คงเคยสงสัยสินะว่าสิ่งที่เราได้ทำไปเหล่านี้ ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน และมีคนเข้ามาดูมากน้อยเพียงใด บางคนก็บอกให้ดูผลลัพธ์ บางคนก็บอกให้รอเวลา แต่รู้หรือไม่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยและตัวชี้วัดของการกระทำเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน เป็นตัวเลขเฉพาะเจาะจงแบบชัดเจน สิ่งนั้นเรียกว่า CTR หรือ Click-Through Rate หนึ่งตัวชี้วัดที่จะมาวัดประสิทธิภาพการทำงาน และค่าความสำเร็จที่ใครอยู่ในวงการการตลาดออนไลน์ต้องรู้จักกันดี ในบทความครั้งนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับค่านี้กันให้มากขึ้นกว่าเดิม ว่ามันคืออะไร แล้วทำไมถึงเป็นตัวชี้วัดในการวัดความสำเร็จการทำการตลาดออนไลน์ และการทำ SEO ในปัจจุบัน
CTR คืออะไร
CTR หรือ Click-Through Rate คือ อัตราการคลิกต่อการมองเห็นทั้งหมดที่ใช้วัดประสิทธิภาพของโฆษณาออนไลน์, เนื้อหาบทความต่าง ๆ หรือลิงก์ต่าง ๆ ที่นำเสนอให้แก่ผู้ใช้งาน กล่าวได้ว่ายิ่งค่านี้สูงเท่าไร ยิ่งบ่งบอกว่ามีคนกดคลิกเข้ามากเท่านั้น รวมไปถึงประสิทธิภาพในการนำเสนอที่น่าสนใจจนผู้ใช้งานต้องกดคลิกเข้ามาอ่าน
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ หลายคนคงตั้งคำถามขึ้นมาว่า ค่าคลิกนี้ต้องมีถึงกี่เปอร์เซ็นต์ ถึงจะบ่งบอกว่าเราประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะอัตราการคลิกที่สูง บอกเพียงแค่ว่าคุณภาพของสิ่งนั้นว่าดี จนผู้คนกดคลิกเข้าไปดู แต่ไม่ได้บอกว่าประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน คำตอบของคำถามง่าย ๆ เลยคือ ไม่มีค่าตัวเลขตายตัว ไม่ได้มีกำหนดว่าค่าคลิก Click-Through Rate ต้อง 20-30% ถึงจะประสบความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับผู้วัดหรือผู้ทำว่าจะกำหนดความสำเร็จไว้ประมาณไหน แต่ให้คิดได้ง่าย ๆ ว่าค่า Click-Through Rate ยิ่งสูงเท่าไรนั้นยิ่งดีพอ เพราะมันบ่งบอกว่ามีผู้คนสนใจ และกดคลิกเข้ามาดูเว็บไซต์หรือโฆษณาของเรา
วิธีคำนวณ CTR (Click-Through Rate)
สูตรการคำนวณค่า CTR นั้นไม่ได้มีอะไรมากเลย มีสูตรง่าย ๆ เลยคือ (Click/Impression) x 100 หรือ <จำนวนการคลิก (Click) / จำนวนคนเห็น (Impression) > x 100
ขอบคุณภาพการคำนวณ CTR จาก ฺBusiness2community
ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ มากขึ้น หากคุณมีเว็บไซต์ที่ทำ SEO ที่แสดงให้ผู้ใช้งานเห็นทั้งหมด 1,000 ครั้ง และมีผู้ใช้งาน 80 คนคลิกเข้าดูเว็บไซต์ของคุณ แปลว่าค่า CTR ของเว็บไซต์ที่ทำ SEO คือ 8%
CTR (Click-Through Rate) บ่งบอกอะไรได้บ้าง
CTR หรือ Click-Through Rate เป็นหนึ่งในเมตริกส์ที่นักการตลาดดิจิทัลให้ความสำคัญกันเป็นอย่างมาก เพราะมันสามารถบ่งบอกหลาย ๆ อย่างให้กับนักการตลาดได้ มาดูกันเลยดีกว่าว่า Click-Through Rate บอกอะไรบ้าง
1. ความสำเร็จของแคมเปญโฆษณา
ยิ่งค่า CTR สูงเท่าไร ยิ่งบ่งบอกว่าผู้คนได้เห็นโฆษณาและตอบโต้ด้วยการคลิกต่อโฆษณาของเรามากเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าแคมเปญโฆษณาที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพและสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ จนเกิดเป็นยอด Click-Through Rate ที่สูง ในแง่มุมของการโฆษณา โฆษณาที่ดึงดูดความสนใจและให้ผู้คนกดเข้ามาดูเพิ่มเติมได้ ถือว่าประสบความสำเร็จได้ดีเยี่ยม
2. คุณภาพของโฆษณา
Click-Through Rate ไม่ได้บ่งบอกแค่ความสำเร็จแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังบ่งบอกว่าโฆษณานั้นมีคุณภาพที่สูงตามค่าที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงเนื้อหา ภาพ และข้อความโฆษณา ว่าสิ่งเหล่านี้สามารถสื่อสารกับผู้คนได้อย่างตรงจุด ตรงประเด็นที่ผู้คนต้องการ จนผู้คนต้องกดคลิกเข้ามาดู และในทางตรงกันข้าม หาก Click-Through Rate มีค่าต่ำ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกให้ทำการปรับปรุงโฆษณาให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
3. คุณภาพของบทความ SEO
เว็บไซต์ที่ทำ SEO ต้องมีการเขียนเนื้อหาบทความ หรือคอนเทนต์ต่าง ๆ มาประกอบบนหน้าเว็บไซต์ โดยหากประยุกต์ใช้ค่า Click-Through Rate จากหน้าผลการค้นหา (SERP) จะเป็นตัวบ่งบอกได้ด้วยเช่นกันว่าบทความที่เราได้เขียนนั้นมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงค่า Click-Through Rate ยังบ่งบอกถึงความสนใจของผู้คนที่กำลังค้นหาได้ด้วยเช่นกัน ว่าพวกเขาอยากกดคลิกเข้ามาอ่านในหัวข้อเนื้อหา บทความที่เราเขียนไปหรือไม่
4. ความสนใจของผู้คน
CTR ไม่ได้บ่งบอกถึงแค่คุณภาพและประสิทธิภาพของเนื้อหาหรือโฆษณาออนไลน์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและการตอบสนองของผู้คนในเนื้อหาแต่ละประเภทได้ หากมียอดคนกดคลิกเข้าดูเท่าไร ยิ่งบ่งบอกว่าพวกเขามีความสนใจหรือต้องการทราบข้อมูลในเรื่องนั้น ๆ เพิ่มเติม หากโฆษณาหรือเว็บไซต์ได้ยอดอัตราการคลิกมากเท่าไร จะบ่งบอกได้ว่าพวกเขากำลังสนใจ และอยากได้คำตอบในเรื่องเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น
5. คุณภาพการทำงาน
สุดท้ายแล้ว CTR ยังบ่งบอกถึงคุณภาพในด้านการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาออนไลน์ แผนการตลาดต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการเขียนเนื้อหา บทความประกอบการทำ SEO ยิ่งมีค่าสูงเท่าไร ยิ่งบ่งบอกว่าคุณภาพงานในแต่ละอย่างนั้นดี แต่หากมีค่าที่ต่ำเกินไป อาจบ่งบอกถึงเวลาในการปรับปรุงแก้ไขเนื้อหางานให้ดี และมีคุณภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทำไม CTR (Click-Through Rate) ถึงเป็นสิ่งที่ควรต้องสนใจ
CTR (Click-Through Rate) หรืออัตราการคลิกผ่าน เป็นสิ่งที่รู้จักกันได้ดีในวงการการตลาดออนไลน์หรือนักการตลาด เพราะหลายคนให้ความสำคัญกับค่านี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นตัวบ่งชี้ถึงความน่าสนใจและการตอบสนองของผู้ใช้งานต่อเนื้อหา หรือโฆษณาที่ได้นำเสนอไป ยิ่ง CTR สูงมากเท่าไร ยิ่งบ่งบอกได้ว่าคุณภาพของเนื้อหาหรือโฆษณานั้นมีความน่าสนใจและสามารถดึงดูดให้ผู้ใช้งานกดคลิกเข้าดูได้มากเท่านั้น
ลองคิดภาพต่อเนื่องดูว่าหากคิดคลิกดูเยอะเท่าไร ยิ่งหมายถึงเราสามารถแปลกลุ่มผู้เข้าชมที่คลิกเข้ามาเหล่านี้มาเป็นลูกค้าได้มากขึ้นเท่านั้น ในเชิงของการทำ SEO ยิ่งบ่งบอกว่าเว็บไซต์ของเราได้ค่าคลิกเข้าชม หรือยอดเข้าถึง (Traffic) มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้น CTR จึงไม่ได้บ่งบอกแค่คุณภาพและประสิทธิภาพของเนื้อหาและโฆษณาแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นตัวบ่งบอกความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์ โฆษณาออนไลน์, การทำเนื้อหาคอนเทนต์ประกอบการทำ SEO (บทความ, วิดีโอ) สำหรับนักการตลาดโดยทั่วไป การได้ทราบว่า CTR ว่ามีมากเท่าไร จะยิ่งช่วยประเมินผลลัพธ์ของการกระทำ และทำให้เรารู้ว่าควรปรับปรุงและลงมือทำในสิ่งไหนต่อไปดี
เคล็ดลับการเพิ่ม CTR (Click-Through Rate) แบบง่าย ๆ
นักการตลาดหลายคน ตั้งเป้าหมายเสมอว่าการมี CTR ที่สูงคือการประสบความสำเร็จของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการทำโฆษณาออนไลน์ หรือการทำ SEO จึงได้มีการใช้วิธีการต่าง ๆ มาเพิ่มค่าคลิกให้สูงมากขึ้น มาลองดูเคล็ดลับการเพิ่ม Click-Through Rate ค่าคลิกที่สูงขึ้นในแต่ละรูปแบบกันเลยดีกว่า
1. การตลาดออนไลน์ (โฆษณา)
- การทำ A/B Testing : A/B Testing เป็นกระบวนการทดสอบการแสดงผลรูปแบบโฆษณา หรือการจัดวางโฆษณาไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ข้อความ ในแบบที่ต่างกัน เพื่อค้นหาว่ารูปแบบไหนมีประสิทธิภาพ และดึงดูดให้ผู้คนสนใจ และกดคลิกมากกว่ากัน โดยรายละเอียดเกี่ยวกับ A/B Testing สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่(A/B Testing)
- ปรับปรุงการออกแบบและข้อความ : หากคุณเริ่มยิงโฆษณาแล้วพบว่าอัตราการคลิกไม่สูงมากเท่าไร เทคนิคง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ทันที คือการปรับปรุงการออกแบบของโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นข้อความเชิญชวน รูปภาพ สี หรือการจัดวางให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น หรือสื่อสารให้ตรงประเด็นที่ต้องการ สิ่งเหล่านี้จะช่วงดึงดูดความสนใจของผู้ดูให้กดคลิกได้ด้วยเช่นกัน
- ดึงดูดผ่าน Call-to-Action : การเชิญชวนให้ผู้คนกดคลิกเข้าชมโฆษณาหรือดูรายละเอียดเนื้อหาต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเพิ่มอัตราการคลิก ดังนั้นปุ่ม Call-to-Action ไม่ว่าจะเป็น “ดูเพิ่มเติม”, “สมัครเลย”, “กดที่นี่” ข้อความเชิญชวนเหล่านี้จะกระตุ้นความน่าสนใจให้มากขึ้นได้ หากเนื้อหาตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน
2. การทำ SEO
- ปรับปรุงหัวข้อและคำอธิบาย : ในกระบวนการทำ SEO โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทความประกอบหน้าเว็บไซต์ การตั้งชื่อหัวข้อ และคำอธิบาย (Meta description) ที่แสดงอยู่บนหน้าผลการค้นหา (SERP) ให้น่าสนใจ หรือน่าอ่าน ก็เป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดให้ผู้คนกดคลิกเข้ามาชมได้เช่นกัน คุณอาจจะดึงจุดที่น่าสนใจ หรือแปลกใหม่ในบทความมาขึ้นเป็นคำอธิบายเกริ่นนำได้ด้วยเช่นกัน
- สร้างเนื้อหาคุณภาพ และมอบประโยชน์ได้ : การเขียนบทความ SEO ให้มีคุณภาพ ข้อมูลมีประโยชน์ และมอบสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการได้ จะเป็นส่วนช่วยสำคัญให้ผู้คนกดคลิกเข้าเว็บไซต์ และอ่านบทความมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงเนื้อหาที่ดี จะถูกแชร์หรือบอกต่อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการคลิกให้สูงขึ้นอีกเรื่อย ๆ
เมื่อ CTR ไม่ได้บ่งบอกถึงทุกสิ่ง
หลายคนคิดว่า CTR (Click-Through Rate) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการวงการตลาดออนไลน์ ที่บ่งบอกถึงความสำเร็จ และคุณภาพของโฆษณาหรือเนื้อหาต่าง ๆ แบบหมดจด แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้บ่งบอกถึงภาพรวม หรือการเจาะเฉพาะจุด แม้ว่าจะมีผู้คนคลิกเข้าไปในเว็บไซต์เพื่อเข้าชมเว็บไซต์ หรือดูโฆษณา แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะทำการซื้อสินค้าหรือใช้บริการตามที่คุณต้องการ เพราะมันเป็นเพียงยอดคลิกเท่านั้น
นอกจากนี้ หากเว็บไซต์หรือโฆษณาไม่ตรงกับความคาดหวังหรือความต้องการของผู้คน รวมไปถึงการโหลดหน้าเว็บที่ช้า อาจจะสร้างความไม่พึงพอใจจนผู้ใช้กดออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งมองในแง่มุมนี้ CTR ที่สูง แต่ไม่ได้กลายเป็นลูกค้า ก็กลายเป็นการตลาดออนไลน์หรือโฆษณาที่ไม่ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ดังนั้นการโฟกัสแล้วมองแต่อัตราการคลิก CTR ไม่ใช่เรื่องดีสะทีเดียว ควรมองภาพรวม และผลในระยะยาวด้วยเช่นกัน
บทสรุป CTR ตัวชี้วัดความสำเร็จที่มากกว่าตัวเลข
CTR (Click-Through Rate) ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขที่บ่งบอกถึงอัตราการคลิกเข้ามาชมเว็บไซต์หรือโฆษณาเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความสำเร็จและความน่าสนใจของเนื้อหา หรือโฆษณาที่นำเสนอไป ยิ่งค่าชี้วัดนี้สูงเท่าไร แสดงว่าสิ่งเหล่านี้สามารถดึงดูดความสนใจและการตอบสนองของผู้คนให้กดคลิกเข้ามาดูได้มากเท่านั้น ดังนั้น CTR จึงกลายเป็นค่าที่นักการตลาดยุคดิจิทัลไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด แม้จะไม่ได้บ่งบอกถึงความสำเร็จแบบชัดเจน แต่จะเป็นตัวเลขที่จะช่วยให้เรารู้ว่าควรทำอะไร ปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาแค่ไหนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น