เมื่อพูดถึงการทำ SEO หรือการปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่อให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา หลายคนอาจจะนึกถึงการใช้ Keywords หรือการสร้าง Backlinks แต่เชื่อหรือไม่ว่ายังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ “Dwell Time” ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นค่าที่บอกเราว่า User ใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ของเราได้นานเท่าไหร่ เป็นค่าที่สะท้อนว่าเราสามารถจะดึงดูดความสนใจของผู้ชมไว้ได้นานแค่ไหน โดยวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเจ้า Metric ดังกล่าว เพื่อดูว่าเราสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง และจะส่งผลอย่างไรกับการเพิ่ม Engagement ให้กับเว็บไซต์ของเรา
Dwell Time คืออะไร?
Dwell Time คือระยะเวลาที่ User ได้ใช้เวลาอยู่บนหน้าเว็บไซต์ของคุณ หลังจากที่คลิกเข้ามาจากหน้าผลการค้นหา ก่อนที่จะกลับไปยังหน้าผลการค้นหาอีกครั้ง หากผู้ใช้ใช้เวลานานบนเว็บไซต์ของคุณนาน มันก็หมายความว่าเนื้อหาของคุณน่าสนใจและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้งานอยากที่จะอยู่ในหน้านั่นต่อ ซึ่งมีโอกาสที่ผู้ใช้งานจะมีโอกาสเห็นหรือเลือกซื้อสินค้าและบริการของคุณมากขึ้น โดยในทางด้านการตลาด
กรณีนี้อาจไม่ต่างกันกับการที่ลูกค้าของคุณ ได้ใช้เวลาในการเดินเข้ามาชมหน้าร้านของคุณนั่นเอง ซึ่งมันก็พอจะบอกได้ว่า หากลูกค้าเลือกที่จะเยี่ยมชมหน้าร้าเรานานขึ้น ก็ส่งผลให้สินค้าของเราขายได้ และการทำเว็บก็ไม่ต่างกันกับกรณีนี้ ที่บางอย่างจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญเสมอ
Dwell Time มีบทบาทอย่างไรในการทำ SEO?
Dwell Time เป็นหนึ่งในปัจจัยที่เครื่องมือค้นหาใช้ในการประเมินคุณภาพของเนื้อหา หากผู้ใช้ใช้เวลานานบนเว็บไซต์ มันหมายความว่า เนื้อหาของคุณตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้นบน Search engine โดยบทบาทที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการทำ SEO ก็คือ
- เป็นตัวบ่งชี้ความน่าสนใจ
ค่าชี้วัดดังกล่าว นับเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนของความน่าสนใจของเนื้อหา หากผู้ใช้ใช้เวลานานบนหน้าเว็บไซต์ ก็มีแนวโน้มว่าเนื้อหานั้นตอบสนองต่อความน่าสนใจ หรืออย่างน้อยหากมีผู้ใช้งานหลายคนสามารถอยู่ในหน้าต่าง ๆ ของเว็บไซต์เราเป็นระยะเวลานาน ก็อาจบอกในทางหนึ่งว่าเนื้อหาของเรา มีความน่าสนใจที่จะดึงดูดคนได้มากพอ และส่งคุณค่าบางอย่างได้ - การประเมินคุณภาพเนื้อหา
Search engine อาจใช้ค่านี้เพื่อเป็นหนึ่งในปัจจัยในการประเมินคุณภาพของเนื้อหา เว็บไซต์ที่มีค่าสูง ซึ่งมักจะถูกมองว่ามีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน จึงทำให้พวกเขาสามารถอยู่ในหน้านั้นได้เป็นระยะเวลานาน โดยการประเมินเนื้อหาในรูปแบบนี้ อาจไม่ได้บอกว่าจริงทั้งหมด (ในกรณีที่ User อาจเปิดหน้าค้างไว้) แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีปฏิสัมพันธ์บนหน้าเว็บโดยเฉพาะการอ่านนาน ๆ หรือการมีส่วนร่วม เช่น แสดงความคิดเห็น ก็บ่งบอกถึงคุณภาพเนื้อหาได้เช่นกัน ว่าผู้คนเลือกใส่ใจสิ่งนี้มากแค่ไหน
โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดอันดับที่สูงขึ้นของหนึ่งเว็บไซต์ เรามักจะใช้ค่า Metric เหล่านี้เพื่อช่วยประเมินด้วยนั่นเอง เนื่องจาก Search engine มักจะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่น่าสนใจ รวมถึงตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ จึงไม่แปลกเลย ที่เนื้อหาซึ่งถูกวัดด้วยตัวชี้วัดเหล่านี้ในลำดับคะแนนที่สูง ก็มักจะถูกนำเสนอก่อนเป็นอันดับต้น ๆ บนหน้าการค้นหา
Dwell Time กับ Bounce Rate มีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร?
เมื่อพูดถึงปัจจัยที่มีผลต่อการทำ SEO “Dwell Time” และ “Bounce Rate” จัดเป็นสองปัจจัยที่มักถูกพูดถึง แม้ว่าทั้งสองค่านี้จะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ แต่ก็มีความหมายและบทบาทที่แตกต่างกัน ซึ่งเราจะมาทำความเข้าใจความสัมพันธ์และความแตกต่างระหว่างทั้งสองกัน
โดยก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า Dwell Time คือระยะเวลาที่ผู้ใช้งานใช้เวลาอยู่บนหน้าเว็บไซต์ หลังจากที่คลิกเข้ามาจากหน้าผลการค้นหา และก่อนที่จะกลับไปยังหน้าผลการค้นหาอีกครั้ง นับเป็นตัวบ่งชี้ความน่าสนใจต่อคำค้นหาของผู้ใช้งาน ส่วน Bounce Rate คือเปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมที่เข้ามายังหน้าเว็บไซต์ของคุณ แล้วทำการออกไปโดยไม่ได้เข้าชมหน้าอื่น ๆ เพิ่มเติม ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จของเว็บไซต์ในการรักษาความสนใจไว้ได้นั่นเอง
ความสัมพันธ์ระหว่าง Dwell Time และ Bounce Rate
ถ้าหากค่า Bounce Rate สูง แต่ Dwell Time ต่ำ ก็อาจบ่งชี้ว่าผู้ใช้งานได้รับเนื้อหาที่พวกเขาต้องการจากหน้าเว็บไซต์เดียว และไม่จำเป็นต้องเข้าชมหน้าอื่น ๆ อีกต่อไป แต่ถ้า Bounce Rate และ Dwell Time ทั้งสองสูง มันอาจบ่งชี้ว่าผู้ใช้งานไม่พบสิ่งที่กำลังมองหาอยู่ และเลือกที่จะออกจากเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันหากค่า Bounce Rate ต่ำ และค่า Dwell Time สูงแสดงว่าเนื้อหาของเรามีความน่าสนใจมากพอ ที่จะทำให้ผู้ใช้งานอยู่ในเว็บไซต์ของเราได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว เพราะมันหมายความว่าเนื้อหาของเรา ได้ฮุคความสนใจของพวกเขาได้แล้ว
สรุปก็คือทั้ง Dwell Time และ Bounce Rate ทั้งสองเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของพฤติกรรมผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ โดยนัก SEO สามารถนำค่าดังกล่าวไปปรับปรุงอย่างไรกับเว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อดึงดูดใจของผู้ใช้งานให้มากพอ แต่ทั้งนี้การเฝ้าสังเกตถึงพฤติกรรม ก็ต้องนำกลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์ให้ละเอียดด้วยเช่นกัน เนื่องจากสิ่งนี้อาจวัดค่าเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งไม่ได้ เราจึงจำเป็นต้องมีการเก็บตัวอย่างร่วมกับการลง(หรือปรับ) เนื้อหาควบคู่กันไปนั่นเอง
วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของ Dwell Time
การเพิ่มประสิทธิภาพของ Dwell Time คือการทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ได้ใช้เวลานานขึ้นในการเรียกดูเนื้อหา ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา เราจึงเห็นว่าการเพิ่มประสิทธิภาพของค่า Dwell Time เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำ SEO อย่างใกล้ชิด โดยเรามาดูกันดีกว่าว่ามีเรื่องใดบ้าง ที่คุณควรจะโฟกัสเพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณ ดึงดูดผู้คนให้เข้ามามี Engagement ได้มากกว่าเดิม
1. ใช้เนื้อหาที่มีคุณภาพ
สิ่งที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณน่าสนใจก็คือ “การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ” มีความเกี่ยวข้องและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ การมีเนื้อหาที่มีคุณภาพจะทำให้ผู้เข้าชมต้องการอ่าน และใช้เวลาอยู่กับข้อมูลดังกล่าวมากยิ่งขึ้น
2. การออกแบบที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน
การออกแบบเว็บไซต์ที่เป็นมิตร ไปจนถึงการง่ายต่อการใช้งาน จะทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกสะดวกสบายและต้องการเรียกดูข้อมูล แม้ในส่วนนี้จะไม่สำคัญเท่ากับการเสนอ Content แต่เชื่อได้เลยว่าการจัดองค์ประกอบที่ดี จะช่วยให้คุณสามารถคว้าใจผู้ใช้งานได้อย่างแน่นอน
3. การโหลดหน้าเว็บไซต์ที่รวดเร็ว
หน้าเว็บไซต์ที่โหลดช้าจะทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกไม่พอใจ และอาจทำให้พวกเขาออกจากเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ให้เพียงพอต่อการนำเสนอข้อมูลอย่างรวดเร็ว
4. การใช้วิดีโอและภาพ
วิดีโอและภาพสามารถช่วยเพิ่มความสนใจและเก็บความสนใจของผู้เข้าชมได้ ทำให้พวกเขาใช้เวลานานขึ้นในการเรียกดูเนื้อหา อีกทั้งยังมีข้อบ่งชี้ด้วยว่า ผู้ใช้งานมักมีปฏิสัมพันธ์กับรูปภาพและวิดีโอได้มากกว่า ดังนั้นหากคุณอยากจะกระตุ้นความสนใจ ก็สามารถเลือกใช้การนำเสนอแบบนี้ได้เลย แต่ต้องไม่ลืมว่าอย่าใช้รูปมากเกินไปหรือทำคลิปที่นานยาวคนน่ารำคาญ เพราะ User คงไม่ชอบอะไรแบบนี้แน่นอน
5. การใช้ Internal links
การใช้ Internal links เพื่อนำผู้เข้าชมไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเรียกดูเนื้อหาอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์ของคุณเพิ่มขึ้น ก็ทำให้ผู้คนสามารถอยู่กับเว็บคุณได้หลากหลาย ซึ่งจะสร้างประโยชน์ได้หลายทาง หากใช้อย่างถูกต้อง
6. การปรับปรุง UX (User Experience)
การมีประสบการณ์การใช้งานที่ดี จะทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกสะดวกสบาย ไม่ต้องแปลกใจเลยหากผู้ใช้งานจะอยู่กับคุณได้นาน เพราะเราได้สร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานไว้แล้ว
สรุปความสำคัญของ Dwell Time ในการวัดผลทาง SEO
Dwell Time ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการวัดผลทาง SEO โดยเฉพาะในการประเมินคุณภาพเนื้อหาและประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์ การที่ผู้ใช้งานใช้เวลานานบนเว็บไซต์หมายความว่าเนื้อหาตอบสนองต่อความต้องการและความสนใจของพวกเขา ซึ่งส่งผลต่อการประเมินและการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับสูงขึ้นและเพิ่มความเป็นมาตรฐานในการทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เรียกได้ว่านี่เป็น Metric ที่จะฉายภาพออกมาให้เราได้เห็นกันอย่างชัดเจน เพื่อนำไปต่อยอดสำหรับการตรวจสอบเนื้อหาไปจนถึงการค้นเข้าไปยังข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมในการยกระดับเว็บไซต์ของเราให้ก้าวขึ้นสู่การดึงดูดผู้ใช้งานไว้ได้อีกขั้น โดยการตรวจสอบและตั้งคำถามสำหรับการใช้งานในมุมของ User นี่แหละที่จะบอกเราได้ว่าเว็บไซต์ควรมีการพัฒนาในเรื่องใดบ้าง แล้วจะปรับตรงจุดไหนเพื่อจะเข้าไปนั่งในใจของ Audience ให้ได้ ข้อมูลเหล่านี้คือสิ่งที่นัก SEO ต้องใส่ใจ เพราะนั่นอาจเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้เราสามารถสร้าง Traffic ได้อย่างมหาศาล